ต้องอ่าน!...เป็นบทความที่อ่านแล้วชอบมาก
จึงขอแบ่งปันต่อไป ทั้งนี้ ตัวละครในเรื่องนี้ จะมีจริงหรือไม่ ไม่ใช่สาระสำคัญ แต่เรื่องราวความดีแบบนี้มีจริง และผลของการทำความดีนั้นย่อมส่งผลแน่นอน …เหตุการณ์แบบนี้อาจจะเกิดขึ้นกับเราสักวัน…ใครจะรู้ การให้โอกาสคือการให้ที่ยิ่งใหญ่
*********************************
‘ อย่าหนีนะ เจ้าเด็กขี้ขโมย ‘
เสียงผู้หญิงวัยกลางคนคนหนึ่งตะโกนลั่น
พร้อมกับมีเด็กคนหนึ่งกับผู้หญิงอีกคนหนึ่ง
วิ่งผ่านฉันกับแม่ที่กำลังซื้อเนื้อหมูในตลาดไปอย่างรวดเร็ว
ทั้งแม่และฉันหันไปดู ทันเห็นหน้าผู้หญิงคนนั้น
แค่แวบเดียว แม่ถามฉันว่า
’ อ้าวนั่นป้าร้านขายของไม่ใช่เหรอ ‘
‘ ใช่จ้ะแม่ แกวิ่งไล่ใครกันละ ‘
ป้าคนนั้นชื่อว่า ‘ ป้าหนอม ‘
เป็นแม่ค้าขายของชำสารพัดอย่าง
ในตัวตลาดในอำเภอที่ฉันอยู่
มีฐานะจัดว่าดีกว่าแม่ค้าคนอื่นๆ
ในละแวกเดียวกัน และเป็นที่รู้จักกันว่า
แกเป็นคนที่ขี้เหนียวอย่างร้ายกาจ
แถมปากจัดที่สุดในตลาดอีกด้วย
ใครต่อราคาของมากเกินไปหรือ
ถามราคาแล้วไม่ซื้อป้าแกจะโวยวาย
ชนิดต้องรีบเผ่นออกจากร้าน
แทบไม่ทันทีเดียว
เสียงเอะอะดังมากขึ้น
ฉันหันไปมองป้าหนอมจับข้อมือ
เด็กผู้ชายคนหนึ่งอายุประมาณ 12-13 ขวบ
ไล่เลี่ยกับฉัน ซึ่งกำลังดิ้นรนอยู่
และป้าแกกำลังจะลงไม้ลงมือ
แม่จึงเดินเข้าไปถาม
‘ พี่หนอม มีไรหรอคะ ‘
‘ ก็คุณเด็กเวรนี่นะสิ มันมาทำทีขอซื้อ
ยาแก้ปวดกับยาธาตุ พอฉันหยิบส่งให้
มันก็วิ่งหนีมาเลย เงินก็ไม่จ่าย ‘
พูดจบป้าหนอมก็ตบหัวเด็กคนนั้น
อย่างแรงหนึ่งที และคงจะมีตามมา
อีกหลายทีแน่ถ้าแม่ฉันไม่ห้ามไว้
‘ ตายแล้วพี่หนอม อย่าถึงกับ
ลงไม้ลงมือกันเลยนะ แล้วนี่จะทำไงต่อ ‘
แม่รีบตัดบทเพราะเห็นว่า
เรื่องราวชักจะไปกันใหญ่
‘ เรียกตำรวจมาเอามันไปเข้าคุกนะสิ
เสียนิสัย พ่อแม่ไม่สั่งสอน
ยังเด็กตัวแค่นี้ก็รึจะเป็นขโมยซะแล้ว
ต่อไปก็คงต้องปล้นเขากินหละ ‘
ฉันสะกิดแม่ทันทีพร้อมกับมอง
พลางส่ายหัวน้อยๆ ทำนองว่า
อย่าไปยุ่งดีกว่า
แม่มองฉันแล้วมองเด็กคนนั้น
ซึ่งท่าทางเหมือนกำลังจะร้องไห้
แม่นิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง
แล้วหันไปพูดกับป้าหนอมว่า
‘ อย่าให้ถึงอย่างนั้นเลยนะพี่หนอม
เด็กมันคงอยากซื้อยา แต่ไม่มีเงินนะ
เอาเป็นว่าฉันจ่ายให้ละกันนะกี่บาทกันละ ‘
ในที่สุดเรื่องก็จบลง โดยการที่แม่
ยอมจ่ายเงินค่ายาแก้ปวดกับยาธาตุ
แล้วแม่ก็จูงเด็กคนนั้นออกมาจากตลาด
แต่ป้าหนอมยังไม่วายเตือนแม่
‘ ใจดีกับเด็กขี้ขโมยแบบนี้
ระวังจะเสียใจทีหลังนะเธอ ‘
แม่ไม่ได้ตอบอะไร
แต่พอเดินห่างจากร้านพอสมควร
แล้วก็ถามว่า ‘ทำไมหนูขโมยของป้าเขาละ ‘
เด็กคนนั้นเงยหน้าที่เต็มไปด้วยน้ำตาขึ้น
มองแม่ แล้วตอบสะอึกสะอื้นว่า
‘ แม่ผมปวดท้องมากเลยครับ
แล้วแม่ก็ไม่มีเงินไปหาหมอ ผมก็เลยต้อง… ‘
แม่มองหน้าเด็กคนนั้นอยู่ครู่หนึ่ง
แล้วยืนผลไม้ที่ซื้อมาให้เด็กคนนั้นถุงหนึ่ง
แล้วบอกว่า
‘ ทีหลังอย่าขโมยของใครนะ
ถ้าไม่มีเงินมาขอเงินน้าไปซื้อก็ได้นะ
น้าชื่อสมพรเปิดร้านเย็บผ้าอยู่ใกล้ๆนี่เอง
ถามคนแถวนี้ก็ได้
รู้จักน้าแทบทุกคนเลยแหละ
เอ้า…เอา ส้มไปฝากคุณแม่ซิ
คนป่วยนะต้องกินผลไม้มากๆ
จะได้หายไวๆ รู้มั้ย ‘
แม่เสริมพร้อมกับยิ้ม
เด็กคนนั้นอึ้งอยู่ครู่หนึ่ง
ก่อนที่จะรับส้ม พร้อมกับ
พูดขอบคุณแม่แล้วเดินจากไป
หลังจากนั้นพอกลับมาถึงบ้าน
ฉันก็ถามแม่ทันที
‘ ทำไมแม่ต้องช่วยเด็กคนนั้นด้วยละ
รู้จักกันเหรอจ้ะ ‘
แม่ยิ้มแล้วตอบฉันว่า
‘ ไม่รู้จักหรอก แต่แม่เห็น
เด็กคนนั้นรับจ้างหาบขนมขายอยู่
แถวบ้านเราน่ะลูก แต่แกคงจำแม่ไม่ได้หรอก
แม่ซื้อขนมแกอยู่ไม่กี่ครั้งเอง ‘
‘ แต่นั้นก็ไม่ใช่เหตุผลที่จะต้องช่วยเหลือเขา
ถ้าเขาเป็นขโมยนี่แม่ ‘
ฉันถามต่อ แม่มองหน้าฉันแล้วพูดว่า
‘ แม่เชื่อว่าเด็กที่เคยหาเงินด้วยตัวเองมาก่อน
ตั้งแต่อายุเท่าๆกับลูก จะต้องเป็นเด็ก
ที่มีความรับผิดชอบ รู้คุณค่าของเงิน
ทุกบาททุกสตางค์ว่ากว่าจะได้มา
มันเหนื่อยยากขนาดไหน
และคนที่มีความรับผิดชอบนะ
จะไม่มีทางขโมยของใคร
นอกจากจะจำเป็นจริงๆ
เมื่อเขาไม่มีทางอื่นให้เลือกแล้วเท่านั้น ‘
ฉันฟังแล้วก็ถามแม่ต่อว่า
‘ แล้วต่อไปถ้าเขามาขอเงินแม่ไปซื้อยาอีก
แม่จะให้เขารึเปล่า ‘
‘ ให้สิลูกถ้ามันไม่มากไม่มายอะไร
‘ แล้วแม่ไม่เสียดายเงินหรอ
บ้านเราก็ไม่ได้ร่ำรวย
เหมือนบ้านป้าหนอมเขานะแม่ ‘
‘ ถึงแม่จะไม่มีเงินทองมากนัก
แต่การที่ได้ช่วยเหลือคนที่กำลังลำบากน่ะ
มันทำให้แม่มีความสุข
แล้วยังได้บุญอีกด้วยนะ แค่นี้แม่ก็พอใจแล้ว
ไม่อยากได้อะไรตอบแทนหรอก ‘
แล้วแม่ก็พูดต่ออีกว่า
‘ จำไว้นะลูก คนเรานะต้องรู้จักให้อภัยและ
ให้โอกาสคนอื่นแก้ตัวเสมออย่างเด็กคนนั้น..
แม่มั่นใจว่าแกทำไปเพราะรักแม่ของแกจริงๆ
แม่ถึงช่วยแกเอาไว้ ‘
แล้วแม่ก็พูดต่อว่า
‘ลูกอาจจะบอกว่าขโมยเป็นสิ่งทีผิด
ใช่…แม่ไม่เถียง แต่บางครั้งคนเรา
ก็ต้องมองด้านอื่นๆบ้าง อย่าคิดแต่เรื่อง
ทรัพย์สินเงินทอง ตอนนี้ลูกอาจจะ
ยังฟังไม่เข้าใจ แต่แม่เชื่อว่า
สักวันลูกจะเข้าใจเองแหละ ‘
หลังจากนั้น
ฉันกับแม่ก็หันไปคุยเรื่องอื่นๆกันต่อ
ฉันเองไม่เคยคิดเรื่องนี้ี้อีกเลย
จนเหตุการณ์หนึ่งเกิดขึ้น
ทำให้ฉันต้องย้อนกลับมา
คิดถึงเรื่องนี้อีกครั้งทั้งน้ำตา
ว่าคำพูดของแม่ในครั้งนี้
ถูกต้องที่สุดจริงๆ
หลังจากนั้น
ฉันเรียนจบระดับปริญญาตรีจาก
สถาบันราชภัฏแห่งหนึ่งในตัวจังหวัด
แล้วฉันก็ได้งานทำ
ในโรงงานในตัวจังหวัดนั้นเอง
เงินเดือนก็พอประมาณ
สามารถเลี้ยงดูแม่ได้โดยไม่ขัดสนนัก
ฉันก็เลยขอร้องให้แม่หยุดรับจ้างเย็บผ้า
เพราะอยากให้แม่พักผ่อนบ้าง
หลังจากทำงานหนักมาเกือบ 20 ปี
เพื่อส่งฉันเรียน แม่ยอมปิดร้าน
แต่ก็ยังรับงานเล็กๆ น้อยๆของเพื่อนบ้าน
มาทำบ้างโดยไม่คิดเงิน แม่บอกว่า
ถ้าไม่ได้ทำอะไรเลยจะรู้สึกเบื่อ
ฉันก็เลยต้องยอมตามใจแม่
ฉันทำงานอยู่ประมาณ 2-3 ปี
แม่ก็เริ่มรู้สึกไม่สบาย
เริ่มจากปวดหัวบ่อยขึ้น
ช่วงแรกๆไม่กี่วันก็หาย
หลังจากนั้นก็เริ่มเป็นนานขึ้นเรื่อยๆ
ฉันบอกให้แม่ไปหาหมอ
แล้วฉันก็พาแม่ไปหาหมอในเมือง
หมอบอกว่าไม่เป็นอะไรมาก
แค่ทำงานหนักมากเกินไป
หมอให้ยามาชุดหนึ่งพร้อมกำชับ
ให้พักผ่อนมากๆ จะได้หายเร็วๆ
หลังจากกินยาตามที่หมอสั่ง
อาการปวดหัวของแม่ก็หายไป
ฉันเริ่มสบายใจขึ้น
แต่หลังจากไปหาหมอได้
ประมาณหนึ่งเดือน
แม่ก็เริ่มกลับมาปวดหัวอีก
คราวนี้เป็นหนักมากกว่าครั้งที่แล้ว
ยาที่เคยกินแล้วได้ผลมาก่อน
ก็ไม่ได้ผลเลย
ฉันกังวลใจมากพอถามหมอ หมอก็บอกว่า
ต้องไปตรวจที่โรงพยาบาลในกรุงเทพฯ
เพราะว่าเครื่องไม้เครื่องมือ
พร้อมกว่าโรงพยาบาลต่างจังหวัด
หลังจากนั้นฉันรีบพาแม่ไปกรุงเทพฯทันที
ไปยังโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่ง
หลังจากหมอตรวจแล้วบอกว่า
มีเนื้องอกในสมองต้องผ่าตัดโดยด่วน
หากปล่อยทิ้งไว้อาจไปทับเส้นประสาท
ทำให้เป็นอัมพาตได้
หรือถ้าผ่าตัดไม่ทันก็อาจ
ร้ายแรงถึงขั้นเสียชีวิต
ฉันตกใจมาก ขอให้หมอผ่าตัดให้ทันที
แต่หมอบอกว่า
โรงพยาบาลที่มีหมอผ่าตัดสมอง
ที่มีความพร้อมที่จะผ่าตัดเนื้องอกในสมอง
เป็นอีกโรงพยาบาลหนึ่ง
ซึ่งมีชื่อเสียงมากกว่า
ดังนั้นหมอจึงต้องส่งตัวคนไข้
ไปยังโรงพยาบาลนั้น ฉันก็ตกลง
หลังจากถูกส่งตัว
มายังโรงพยาบาลดังกล่าวแล้ว
แม่ก็ถูกส่งตัวเข้าห้องผ่าตัดทันที
ขณะที่ฉันรออย่างกังวลใจอยู่ด้านนอก
ทั้งเรื่องอาการป่วยของแม่และจาก
คำพูดของหมอที่ทิ้งท้ายไว้ก่อนส่งตัวแม่
มาที่โรงพยาบาลแห่งนี้
หมอบอกให้ทำใจไว้บ้าง
เพราะการผ่าตัดสมอง
เป็นการผ่าตัดที่เสี่ยงมาก
โอกาสที่คนไข้จะเสียชีวิตมีมาก
แม้การผ่าตัดจะประสบความสำเร็จก็ตาม
อีกเรื่องก็คือค่าใช้จ่ายในการผ่าตัดสมอง
ค่อนข้างสูง เป็นหลักแสนบาท
เมื่อรวมกับค่ายาระหว่างพักฟื้น
คิดแล้วน่าจะต้องใช้เงินราวๆ ห้าแสนบาท
ฉันได้ยินแล้วแทบลมจับ
ฉันจะไปหาเงินห้าแสนบาทมาจากไหน
ลำพังเงินเก็บของฉันกับแม่
ยังมีไม่ถึงห้าหมื่นบาทเลย
แต่ยังไงฉันก็ต้องรักษาแม่ให้หาย
ส่วนเรื่องเงินไว้คิดทีหลัง
หลังการผ่าตัดเสร็จสิ้นลง
เป็นโชคดีของแม่
ทีการผ่าตัดประสบผลสำเร็จ
และไม่มีอาการแทรกซ้อนใดๆ
ทางโรงพยาบาลบอกให้
พักฟื้นประมาณหนึ่งเดือน
ก็สามารถไปพักฟื้นที่บ้านได้
ทางโรงพยาบาลแจ้งรายการ
ค่าใช้จ่ายทั้งหมดมาให้ฉัน
ปรากฏว่าเป็นเงินจำนวนไม่ถึงหนึ่งพันบาท
เป็นค่าติดต่อประสานงานเท่านั้น
ฉันแปลกใจมากจึงสอบถามกับนางพยาบาล
นางพยาบาลบอกว่า
คุณหมอที่เป็นคนผ่าตัดและเป็นเจ้าของไข้
บอกไม่ให้คิดเงินกับฉันและแม่
โดยที่ทางโรงพยาบาลก็ไม่ทราบสาเหตุ
ฉันจึงขอพบคุณหมอคนนั้นเพื่อขอบคุณ
นางพยาบาลบอกว่าหลังจากเสร็จ
คุณหมอก็ถูกส่งตัวไปต่างประเทศทันที
เพื่อศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับ
การผ่าตัดสมองที่อเมริกา
แต่คุณหมอได้ฝากจดหมายไว้ให้ฉันกับแม่
โดยกำชับกับทางโรงพยาบาลให้ฝากให้ฉัน
พร้อมกับใบเสร็จค่าใช้จ่ายอื่นๆ
ของทางโรงพยาบาล
ในวันที่แม่สามารถออกจากโรงพยาบาลได้
เมื่อกลับถึงบ้าน ฉันกับแม่
ก็เปิดอ่านจดหมายของคุณหมอคนนั้น
เมื่ออ่านจบทั้งฉันและแม่
ก็ร้องไห้ออกมาพร้อมกัน
เนื้อความในจดหมายมีดังนี้
ข้าพเจ้านายแพทย์เดชา ทองวิจิตร
แพทย์ผู้ผ่าตัด นางสมพร ภู่จันทร์
ขอสรุปค่าใช้จ่ายในการผ่าตัดทั้งหมดดังนี้
ค่าผ่าตัด 0 บาท
ค่ายาทั้งหมด 0 บาท
ค่าใช้จ่ายอื่นที่เหลือ 0 บาท
รวมเป็นเงินทั้งหมด 0 บาท
ป.ล. ค่าใช้จ่ายทั้งหมดได้รับแล้ว
เมื่อยี่สิบปีก่อนด้วย ยาแก้ปวด ยาธาตุ ส้มหนึ่งถุง ขอให้สุขภาพแข็งแรงไปอีกนานๆ นะครับคุณน้า
ที่มาระบุว่ามาจาก : นายแพทย์เดชา ทองวิจิตร