15 อดีตคนจน พลิกชีวิตเป็นเศรษฐี เพราะไม่เชื่อว่าตัวเองต้องจนไปตลอดชีวิต
เรื่องราวของคนที่สร้างเนื้อสร้างตัวจากคนที่ลำบากยากจน สู่การเป็นเศรษฐีล้วนสร้างแรงบันดาลใจให้ทุกคนได้เสมอ เพราะเหมือนเป็นการย้ำว่า
ทุกคนสามารถพลิกชีวิตจากคนที่ลำบากยากเข็ญมาเป็นคนที่มีฐานะมั่งคั่งร่ำรวยได้
ถึงแม้จะเกิดมายากจน แต่ไม่จำเป็นจะต้องจนไปตลอดชีวิต เหมือนอย่างมหาเศรษฐีอย่าง บิล เกตส์ กล่าวไว้ว่า
“คุณไม่ผิดที่เกิดมายากจน แต่ผิดถ้าตายอย่างยากจน”
ผมจึงขอหยิบยกเรื่องราวของบุคคลที่พลิกชีวิตจากคนธรรมดากลายเป็นคนที่ไม่ธรรมดามาให้อ่าน เพื่อสร้างแรงบันดาลใจให้สู้ต่อไปกันครับ
1. เออร์ซูล่า เบิร์นส์ ซีอีโอของชีวิต
เธอโตขึ้นในย่านยากจน และเขตอันธพาลแถบแมนฮัตตัน มีชีวิตในวัยเด็กที่ค่อนข้างลำบาก คุณแม่ของเธอต้องพยายามหาเลี้ยงชีพ เพื่อส่งเธอเข้าเรียนมหาวิทยาลัย
ท้ายที่สุดเมื่อจบการศึกษาระดับมหาวิทยาลัย เธอได้เข้าทำงานที่บริษัทซีรอกซ์ในตำแหน่งพนักงานฝึกหัด จนได้กลายมาเป็นซีอีโอผิวสีคนแรกของบริษัทซีรอกซ์ ถือเป็นผู้หญิงผิวสีคนแรกที่ได้บริหารจัดการบริษัที่ติดอันฟอร์บส์ 500 คนแรกอีกด้วย
2. ลีกาชิง นักธุรกิจตัวจริงที่โลกต้องนับถือ
ครอบครัวของลีกาชิงอพยพจากจีนมายังฮ่องกงในปี 1940 พ่อของเขาตายตั้งแต่เขาอายุเพียง 15 ปี ทำให้เขาต้องลาออกจากโรงเรียนเพื่อมาช่วยทำงานหาเลี้ยงครอบครัว
ในปี 1950 ลีกาชิงเริ่มทำธุรกิจโรงงานพลาสติก และขยับขยายกลายเป็นโรงงานดอกไม้พลาสติกเพื่อส่งออกไปยังสหรัฐฯ
ลีกาชิงเริ่มหันมาทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และปัจจุบันเขามีธุรกิจที่ครอบคลุมหลากหลาย อาทิ โทรคมนาคม การขนส่ง อุตสาหกรรมเหล็ก อุตสาหกรรมไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์ เขากลายเป็นหนึ่งในบุคคลที่ร่ำรวยติดอันดับโลก จากเด็กที่ไม่มีต้นทุนชีวิตอะไรเลย
3. เคอร์คอเรียน สองมือพลิกชีวิตสู่เจ้าของโรงแรมยักษ์ใหญ่
เคอร์คอเรียนต้องออกจากโรงเรียนตั้งแต่เกรด 8 เพื่อมาเป็นนักมวยอาชีพช่วยเหลือครอบครัวหารายได้ ในช่วงที่ครอบครัวของเขาต้องประสบปัญหาจากภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ
ต่อจากนั้นเขาได้ผันตัวรับใช้ชาติ กลายมาเป็นนักบินในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยทำหน้าที่ขนส่งยุทโธปกรณ์บนเส้นทางเหนือทะเลแอตแลนติก ที่จะมีเครื่องบินตกคิดเป็นอัตราส่วน 1 ใน 4 เรียกได้ว่าเสี่ยงตายอย่างยิ่ง
จากรายได้ที่เขาพยายามเก็บสะสม ท้ายที่สุดก็ได้มาลงทุนอสังหาริมทรัพย์ย่านลาสเวกัส โดยทุ่มซื้อโรงแรมเดอะ ฟลาแมงโก้ และสร้างเดอะ อินเตอร์เนชั่นแนล และเอ็มจีเอ็ม แกรนด์ขึ้นมา ปัจจุบันเขามีทรัพย์สินกว่า 16 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ
4. แซม วอลตัน เด็กส่งหนังสือพิมพ์สู่เจ้าของธุรกิจค้าปลีกยักษ์ใหญ่
แซม วอลตันเกิดในครอบครัวที่ยากลำบาก เขาต้องช่วยครอบครัวรีดนมวัว และส่งหนังสือพิมพ์จนกระทั่งวัย 26 ปี เขาเริ่มทำธุรกิจร้านขายของด้วยเงินตั้งต้น 25,000 เหรียญ โดยหยิบยืม และกู้เงินมา และขยับขยายไปสู่ร้านวอลมาร์ทที่มีสาขามากมายทั่วสหรัฐ ฯ เฉกเช่นทุกวันนี้
แซม วอลตันเสียชีวิตในปี 1992 ทิ้งกิจการให้ไว้ภรรยา และลูก ๆ บริหารจัดการสานความฝันของเขาต่อไป
5. สตีฟ จ็อบส์ ชายผู้พลิกชีวิตคนทั้งโลกด้วยเทคโนโลยี
สตีฟ จ็อบส์ เกิดเป็นเด็กที่พ่อแม่ไม่ต้องการ ละทิ้งให้ครอบครัวอื่นรับเลี้ยง มีวัยเด็กที่ไม่ถือว่ายากจนมาก แต่ก็ไม่ได้สะดวกสบาย
เขาเลิกเรียนมหาวิทยาลัยกลางคัน เพราะไม่ชอบสิ่งที่ตัวเองต้องเรียน เลือกเข้าเรียนวิชาที่ตัวเองชอบเท่านั้น อีกทั้งครอบครัวบุญธรรมยังมีรายได้ไม่เพียงพอที่จะสนับสนุนการเรียนได้ตลอดรอดฝั่ง อนาคตด้านการศึกษากระท่อนกระแท่น
เมื่อโตขึ้นสู่วัยหนุ่มเขาออกแสวงหาความหมายของชีวิต เดินทางไปยังประเทศอินเดีย ใช้ชีวิตแบบฮิปปี้ รักอิสระ ไม่อาบน้ำ ไม่ใส่รองเท้า เป็นคนที่แปลกแยกออกจากสังคม
มาถึงจุดเปลี่ยนของชีวิต เขาร่วมเปิดกิจการคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลเล็กๆในโรงรถกับเพื่อนสนิท เติบโตต่อขยายจนกลายมาเป็นบริษัท แอปเปิ้ล โดยเขาดำรงตำแหน่งเป็นซีอีโอของบริษัท ขายคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลแต่บริษัทก็ยังไม่ถือว่าประสบความสำเร็จสักเท่าไหร่
เขาต้องถูกไล่ออกจากบริษัทของตนเอง โดยคนที่เขาเลือกมาช่วยบริหารงาน แต่ก็ได้กลับมาบริหารแอปเปิ้ลอีกครั้งในช่วงเวลาต่อมา และนำพาบริษัทพลิกจากช่วงตกต่ำขึ้นทะยานสู่จุดสูงสุด พร้อมด้วยการเปิดตัวผลิตภัณฑ์อย่างไอโฟน ทำให้ตัวเขามีสินทรัพย์มหาศาลในที่สุด
อย่างไรก็ดีชีวิตคนเรามักไม่แน่นอน เขาเสียชีวิตลงด้วยโรคมะเร็ง ทิ้งแอปเปิ้ลให้กับผู้บริหารคนใหม่อย่าง ทิม คุ๊ก แต่ชื่อของเขาจะเป็นที่จดจำตลดไปอย่างแน่นอน
6. จิม แคร์รี่ ผู้ไม่ยอมแพ้ต่อชะตาชีวิตสร้างเสียงหัวเราะจนร่ำรวย
หนุ่มชาวแคนาดาเกิดในครอบครัวฐานะปานกลาง แต่โชคชะตากลับพลิกผันเมื่อพ่อของเขาต้องตกงาน ทำให้เขาต้องทำงานช่วยครอบครัวหาเลี้ยงชีพในโรงงานวันละหลายชั่วโมง ในขณะที่เรียนอยู่เพียงชั้นมัธยม จนท้ายที่สุดต้องเลิกเรียนกลางคัน
เขาเริ่มต้นทำสิ่งที่รักด้วยการพูดเดี่ยวไมโครโฟน จนเริ่มมามีชื่อเสียงมากขึ้น จากการได้แสดงภาพยนตร์ “Dume and Dumber”
ครั้งหนึ่งตอนที่เขายังไม่ค่อยมีเงิน เขาเคยเขียนเช็คให้ตัวเองเป็นค่าตัวสำหรับงานแสดง และเก็บเอาไว้ดูอยู่เสมอ จนกระทั่งวันนึงเขาได้รับค่าจ้างเป็นมูลค่านั้นจริงๆ
ทำให้จิม แคร์รี่ กลายเป็นตัวอย่างหนึ่งของกฎ “แรงดึงดูด” ที่มักจะถูกล่าวถึงอยู่เสมอ ปัจจุบันเขามีสินทรัพย์ประมาณ 120 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
7. ริชาร์ด แบรนสัน จากเด็กที่มีปัญหาการเรียนรู้สู่เจ้าของธุรกิจพันล้าน
เกิดในครอบครัวนักกฎหมายย่านลอนดอน เขามีปัญหาด้านการเรียนเพราะโรคดิสเล็กเซีย (โรคความบกพร่องในการอ่านเขียน) แต่เขาไม่เคยยอมให้สิ่งเหล่านี้มาเป็นอุปสรรคในชีวิต
ริชาร์ด แบรนสันฉายแววนักธุรกิจตั้งแต่วัยเด็ก โดยเริ่มต้นทำธุรกิจค้าขายต้นคริสต์มาสต์ และเป็นเจ้าของธุรกิจขายแผ่นเสียงทางไปรษณีย์ในวัยเพียงแค่ 16 ปี
เขาขยายต่อยอดมาเปิดร้านจำหน่ายแผ่นเสียงชื่อว่า “Virgin Records” โดยขยายสาขาไปทั่วประเทศอังกฤษ
หลังจากนั้นเขาก็เริ่มทำธุรกิจสายการบิน โดยเปิดสายการบินเวอร์จิ้น แอตแลนติก ตามด้วยหลากหลายธุรกิจ อาทิ น้ำดื่ม เกมส์ โทรศัพท์มือถือ
โดยส่วนตัวเขาเป็นคนชอบผจญภัย และรักการเรียนรู้อยู่เสมอ ทำให้เขาสามารถนำมาต่อยอดทางธุรกิจได้ และกล้าที่จะเสี่ยง
ปัจจุบันเขาร่ำรวยติดอันดับโลก และเป็นบุคคลตัวอย่างที่ใครก็อยากเป็นเหมือนอย่างเขา
8. โรมัน อบราโมวิช จากเด็กกำพร้าสู่มหาเศรษฐี
เด็กหนุ่มกำพร้าชาวรัสเซียเติบโตขึ้นด้วยการเลี้ยงดูของคุณลุง และคุณยาย มีชีวิตวัยเด็กที่ยากลำบาก
เขาเลิกเรียนกลางคันเพื่อทำธุรกิจขายเป็ดพลาสติกที่เริ่มต้นในอพาร์ทเมนต์ของเขาในกรุงมอสโก ชะตาชีวิตพลิกผันเมื่อเขาจับธุรกิจค้าน้ำมันในบริษัทซิบเนฟท์ โดยเข้าเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ จากความสัมพันธ์อันดีกับรัฐบาลรัสเซีย
ในช่วงปี 90 เขาได้ขยายต่อยอดธุรกิจโดยเข้าร่วมทำธุรกิจกับสายการบินที่ใหญ่ที่สุดของรัสเซีย ชื่อบริษัทแอโรฟลอต และตามด้วยธุรกิจอลูมิเนีย บริษัทรูซัล
หลังจากนั้นเขาได้สร้างความฮือฮาด้วยการเข้าเทคโอเวอร์สโมสรฟุตบอลชั้นนำของอังกฤษอย่างเชลซี และนำพาทีมคว้าแชมป์ลีกสูงสุดของอังกฤษหลายครั้ง
ในปี 2006 จากการจัดอันดับของนิตยสารฟอร์บส์ เขาร่ำรวยเป็นอันดับ 1 ของรัสเซีย และเป็นอันดับ 1 ของอังกฤษ รวมถึงอันดับ 11 ของโลกด้วย
9. โอปราห์ วินฟรีย์ เด็กหนีออกจากบ้านสู่เจ้าแม่วงการโทรทัศน์
ผู้หญิงคนนี้ใครบ้างจะไม่รู้จัก ปัจจุบันเธอมีรายการเป็นของตัวเอง และมีรายได้มหาศาล แต่ใครจะรู้ว่าเธอเคยใส่ชุดที่ทำจากกระสอบมันฝรั่ง เพราะครอบครัวมีฐานะยากจนอย่างมาก
เธอถูกข่มขืนตอนอายุ 9 ปี และเคยหนีออกจากบ้านในวัยเพียงแค่ 13 ปี อีกทั้งเป็นคุณแม่ยังเด็กด้วยอายุเพียงแค่ 14 ปี และเคราะห์ยังซ้ำอีกต้องมาเสียลูกไปตั้งแต่ยังวัยเยาว์
ชีวิตเหมือนจะดีขึ้นเธอได้กลายมาเป็นนักจัดรายการข่าวผิวสีคนแรกในวัยเพียง 20 ปี อย่างไรก็ดีอีกไม่นานก็ถูกไล่ออกอีก
ท้ายที่สุดความพยายามก็สำเร็จ เธอพลิกรายการ “เอเอ็ม ชิคาโก้” ที่มีเรตติ้งต่ำสุดให้กลายมาเป็นรายการที่มีเรตติ้งสูง และเปลี่ยนชื่อมาเป็น “เดอะ โอปราห์ วินฟรีย์ โชว์” รายการที่ทำให้เธอประสบความสำเร็จจนถึงทุกวันนี้
ปัจจุบันเธอกลายเป็นผู้ทรงอิทธิพลคนหนึ่งของโลก และมีสินทรัพย์มากมายมหาศาล
10. แอนดรูว์ คาร์เนกี้ เด็กโรงงานฝ้ายสู่เจ้าของอาณาจักรเหล็กกล้า
ชายคนนี้คือคนที่แนะนำให้นโปเลียน ฮิลล์ รวบรวมข้อมูลจากคนที่ประสบความสำเร็จมาเขียนเป็นหนังสือ “Laws Of Success” และ “Think And Grow Rich”
ในวัยเด็กเขาต้องทำงานในโรงงานฝ้ายวันละ 12 ชั่วโมง 6 วันต่อสัปดาห์ เพื่อพยายามทำงานเก็บเงิน และลงทุนในกิจการของตัวเอง
จนท้ายที่สุดมาประสบความสำเร็จกับธุรกิจเหล็กกล้า กลายเป็นบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดคนหนึ่งของโลก
11. คริส การ์ดเนอร์ จากคนไร้บ้านสู่เศรษฐีผู้มีความสุข
ตัวละครเอกในเรื่อง “The Pursuit Of Happyness”
เขาโตขึ้นมาโดยที่ไม่รู้ว่าใครเป็นพ่อของตนเอง ใช้ชีวิตขายอุปกรณ์ทางการแพทย์ ต้องหาเลี้ยงครอบครัวอย่างยากลำบาก อาศัยห้องน้ำเป็นที่ซุกหัวนอน
จนได้มาทำงานเป็นนักค้าหุ้นในวอลสตรีท ขยายต่อยอดจนมีกิจการเป็นของตนเอง และร่ำรวยในที่สุด
12. เจเค โรลลิ่งส์ คุณแม่เลี้ยงเดี่ยวเสกชีวิตสู่ความสำเร็จด้วยเวทมนตร์
เธอมีชีวิตที่ยากลำบากมาโดยตลอด ต้องหย่ากับสามี และกลายมาเป็นคู่แม่เลี้ยงเดี่ยว มีช่วงชีวิตที่เป็นโรคซึมเศร้า
หลายต่อหลายครั้งที่หนังสือที่กลายมาเป็นความสำเร็จครั้งยิ่งใหญ่ในชีวิตของเธออย่าง “แฮรี่ พอตเตอร์”ถูกปฎิเสธอย่างไม่ใยดีจากสำนักพิมพ์ โดยถูกให้ความเห็นว่าใครจะมาสนใจเรื่องราวของพ่อมด หรือเวทมนตร์
ปัจจุบันเธอมีสินทรัพย์กว่า 1พันล้านเหรียญสหรัฐฯ มีชีวิตที่สบายแบบไม่ต้องทำงานอีกเลย
13. อิงวาร์ คัมพราด เด็กฟาร์มสู่อาณาจักรพันล้าน
เจ้าของกิจการเฟอร์นิเจอร์ยักษ์ใหญ่ชาวสวีเดน เกิดในฟาร์มเล็ก ๆ ทางตอนใต้ของสวีเดน รักในการทำธุรกิจตั้งแต่พอจำความได้
เริ่มขายสินค้าชิ้นแรกคือไม้ขีดไฟ ขยายต่อมาเป็นร้านขายของชำ โดยขายสินค้าทุกอย่างที่น่าจะขายได้ในราคาต่ำกว่าท้องตลาด ก่อนจะพลิกผันสินค้าเป็นเฟอร์นิเจอร์ที่ถูกใจคนทั้งโลก
ปัจจุบันอิเกียขยายไปกว่าค่อนโลก และทำให้เขามีรายได้มหาศาล แต่กระนั้นก็ยังขึ้นชื่อว่าเป็นคนที่มัธยัสถ์ และใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายเหมือนอย่างเคย
14. ลีโอนาร์โด้ เดล เวคคิโอ้ เด็กกำพร้าพลิกชีวิตด้วยแว่นตา
แม่ของเขาส่งให้ไปอยู่สถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้า เพราะไม่มีรายได้มากพอที่จะเลี้ยงดูลูกทั้งหมด 5 คนได้
เมื่อโตขึ้นเขาต้องทำงานในโรงงานผลิตแว่นตา และต้องเสียนิ้วมือไปจากอุบัติเหตุ
เขาเปิดกิจการภายใต้ชื่อ ลูซอตติก้า ในวัยเพียงแค่ 23 ปี และกลายเป็นที่รู้จักในฐานะที่เป็นผู้ผลิตแว่นตาแบรนด์ดังอย่าง เรย์แบน และโอ้คเลย์
ปัจจุบันเขามีสินทรัพย์ร่ำรวยเป็นอันดับ 2 ของประเทศอิตาลี
15. โฮเวิร์ด ชูลส์ เด็กยากไร้ สู่เจ้าของร้านกาแฟที่คนกินเยอะที่สุดในโลก
เกิดในครอบครัวที่ยากจนในเมืองนิวยอร์ค ทำให้เขาพยายามที่จะหนีออกจากสภาพแวดล้อมที่ลำบากด้วยการหันมาเอาดีด้านกีฬาอเมริกันฟุตบอล จนในที่สุดได้ทุนนักกีฬาจากมหาวิทยาลัยนอร์ธ มิชิแกน และจบการศึกษาด้านการสื่อสาร
วันหนึ่งขณะที่กำลังสร้างตัวจากอาชีพมนุษย์เงินเดือน ในบริษัทซีรอกซ์ ก็ได้พบเจอร้านกาแฟเล็กๆชื่อสตาร์บัคส์ที่มีเสน่ห์ชวนหลงใหล
ทำให้เขาตัดสินใจลาออกจากซีรอกซ์มาลงทุนอย่างเต็มตัว และกลายเป็นซีอีโอของสตาร์บัคส์ในที่สุด
ปัจจุบันเขามีสินทรัพย์กว่า 1.5 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ
เห็นไหมว่าคนรวยระดับโลกต่างก็ลำบาก ชีวิตยากไร้ ไม่ได้มีต้นทุนชีวิตมากมายและเหลือเฝือ อย่างที่ใคร ๆ เข้าใจ ต่างคนก็มีปัญหา เจอมรสุมชีวิต บ้านแตก โดนข่มขืน โดนดูถูกเหยียดหยาม สารพัดเรื่องสุดดราม่ายิ่งกว่าละครซะอีก แต่พวกเขาเหล่านี้ยังประสบความสำเร็จได้ด้วยการไม่ยอมแพ้
และคุณไม่จำเป็นต้องมีชีวิตรันทดขนาดนั้น หรือต้องทำชีวิตให้ลำบากเพื่อมีแรงฮึดกลับมาประสบความสำเร็จ
หากชีวิตคุณดีอยู่แล้ว หรือยังไม่ดีเท่าไหร่ เก็บแรงบันดาลเหล่านี้เอาไว้สอนใจตัวเองว่า บางคนลำบากกว่าเราตอนนี้อีก เขายังสำเร็จได้ แล้วทำไมเราจะไม่สำเร็จอย่างคนอื่นเขาบ้างไม่ได้
Credit: http://www.ryounoi100lan.com/?p=219