จะมีสักกี่คน...ที่ได้ทำตามฝัน จะมีสักกี่คน...ทำตามฝันจนสำเร็จ แล้วจะมีสักกี่คน...ที่อดทนรอเป็นสิบปี เค้าคนนี้คือคำตอบ "บรรเจิด เหล็กคง" ช่างอ๊อกเหล็กนักล่าฝัน ที่เขาเคยวาดหวังไว้ว่า สักวันนึงเขาจะไปให้ไกลถึงระดับโลก และแล้ววันนี้...ฝันนี้ก็เป็นจริง!! เมื่อผลงานของเขาถูกนำไปจัดแสดงไกลถึงนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา
พี่แคมปัสได้มีโอกาสเดินทางไปร่วมงาน นิทรรศการการแสดงผลงานศิลปะเหล็กคง ของ "บรรเจิด เหล็กคง" ศิลปินคนไทยที่มีฝีไม้ลายมือไม่แพ้ชาติใดในโลก ผู้สร้างประติมากรรมจากเหล็กที่แข็งทื่อ ให้กลับกลายมามีชีวิตชีวาด้วยศิลปะ ผ่านตัวละครมากมายที่มีเอกลักษณ์ในแบบไทยๆ โดยงานนี้จัดขึ้นระหว่างวันที่ 20 พ.ค. - 9 มิ.ย. 2559 ที่ Agora Gallery นิวยอร์ก
เราไปรู้จักศิลปินผู้นี้กันสักหน่อย ก่อนที่จะลงลึกไปถึงเรื่องราวของเขาผ่านการสัมภาษณ์พูดคุย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องราวของการเป็นศิลปิน ชีวิต และแนวคิด รวมไปถึงการเดินทางสู่ความฝัน นั่นคือการตอบรับจาก Agora Gallery 1 ใน 5 แกลลอรี่ของโลก ที่ได้รับความเชื่อถือเป็นอย่างมากจากผู้ที่ชื่นชอบงานศิลปะ โดยผลงานที่จะนำมาจัดแสดงได้ ต้องผ่านการพิจารณาแล้วว่ามีคุณค่าทางศิลปะและโดดเด่นเฉพาะตัว ซึ่งศิลปะเหล็กคงก็ได้รับเลือก
แน่นอน!! หนทางไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ ขวากหนามมากมายรออยู่ แต่สุดท้ายแล้ว...เขาก็มีวันนี้ "บรรเจิด เหล็กคง" ได้มีโอกาสพบกับ "สันติ ภิรมย์ภักดี" ผู้ที่เห็นคุณค่าของประติมากรรมของเขา จึงได้เข้ามาช่วยสนับสนุนในนามของ "สิงห์ปาร์ค เชียงราย" ให้ได้นำผลงานดังกล่าวไปจัดแสดงระดับโลกที่ Agora Gallery
ประวัติส่วนตัว
บรรเจิดเกิดวันที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2512 ที่อำเภอพิมาย จังหวัดนครราชสีมา ที่บ้านทำอู่ซ่อมรถ อ๊อกเหล็กได้มาตั้งแต่สมัยเรียนชั้น ป.2 ด้วยความที่บ้านอยู่ใกล้วัดกับโบราณสถานต่างๆ ก็ชอบอะไรที่มีความเป็นไทย และอยากมีโอกาสทำอะไรที่เป็นไทยๆ จนกระทั่งโตและเรียนจบสถาปัตยกรรมศาสตร์มาจากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน ก็เริ่มมีความคิดอยากทำสิ่งนั้นจริงจังขึ้น ควบคู่กับการทำอาชีพสถาปนิก ก็ตั้งใจจะค้นหาอะไรที่ตัวเองชอบ จนวันหนึ่งมีคนพูดว่า 'งานเหล็กไง' ก็เลยนึกขึ้นได้ว่า เป็นสิ่งที่รักและถนัดมาตั้งแต่เด็ก จึงมีความคิดจะทำงานศิลปะจากโครงเหล็ก โดยบวกกับศิลปะแบบไทยๆ ซึ่งตั้งใจอยากให้เป็นงานที่มีชิ้นเดียวในโลก ไม่ซ้ำใคร และมีจุดเด่นคือการสร้างสรรค์โครงเหล็กที่พลิ้วไหวได้ สมัยนั้นเล่าให้ใครฟังก็ไม่มีใครเห็นด้วย แต่ก็พยายามทำให้สำเร็จจนเกิดเป็นผลงานชิ้นแรกขึ้น นั่นคือ องค์พระพิฆเนศ
วันเวลาผ่านพ้น ปรากฏผลงาน
บรรเจิดเริ่มเล่าว่า เวลาผ่านไปกว่า 10 ปี ผมได้สร้างงานเหล็กของผมขึ้นมา ท่ามกลางสายตาที่ดูแคลน แต่ด้วยความเชื่อมั่นในสิ่งที่ตัวเองทำ ผมมีผลงานกว่า 40 ชิ้น ภายใต้ชื่อ "ศิลปะเหล็กคง" โดยทำงานออกเป็น 3 ยุค
ฝีมือ กับการทำงาน 3 ยุค
พูดง่ายๆ 3 ยุค ถามว่าแตกต่างกันไหม ก็ไม่ได้แตกต่าง เพราะว่ามันไม่ได้ต่างไปจากเดิมที่คิดเอาไว้ในสมองตั้งแต่แรก ว่าเทคนิคการทำงานมันมากชิ้น เพราะเครื่องมือมันมากขึ้น ทำงานยุคแรกจากไม่มีเงินซื้อเครื่องมือ เงินแค่ไม่กี่ร้อยบาท ไม่กี่พันบาท ซื้อเครื่องมือเป็นแบบมือสองตามตลาดมืดด้วยซ้ำ แล้วมาสร้างงานมันไม่จำเป็น เหมือนผมเขียนแบบได้เก่ง ไม่ใช่ว่าผมเขียนคอมพิวเตอร์ได้เก่ง ผมเขียนจากมือก่อน manual ก่อน ฉะนั้นฝีมือต่างหากที่สำคัญ
โชว์ 15 ประติมากรรมเหล็ก
ผมเลือกประติมากรรมเหล็กที่มีความพลิ้วไหวและโดดเด่นด้วยเอกลักษณ์ในแบบไทย ไปจัดแสดงที่นิวยอร์กจำนวน 15 ชิ้น ได้แก่ ทศกัณฐ์ท่ายืนสู้รบ และท่านั่งเจรจา, สิงห์, หนุมานไทย และหนุมานบาหลีหยอกเย้า, หนุมานสู้รบกับวิรุณจำบัง, หนุมาน (ขนาดเท่าคนจริง), หนุมานหาวเป็นดาวเป็นเดือน, 11 พญาวานร ต่อกายเป็นช้าง 3 เศียรเดินสะบันงวง, มวยไทย, ฤาษีนารอด, เศียรพระพิฆเนศ, องค์พระพิฆเนศ 16 กร, พระรามแผลงศร และ นกฮูกขย้ำดวงจันทร์ นกอินทรีขย้ำพระอาทิตย์ (ต่างกาล ต่างวาระ)
เมื่อ 'เหล็ก' มีความอ่อนช้อย
มันได้ความครีเอตมาจากการเรียนสถาปัตย์ เราต้องทำอะไรที่แตกต่าง ทำอะไรที่ตรงกันข้าม มันเป็นความรู้สึกหรือผลงานที่เขาคาดไม่ถึง อันนี้มากกว่า...ที่มันเป็นจุดสำคัญ ที่ทำให้เป็นผลงาน ตอนทำงาน architech หรืองาน interior อย่างทำงานผับ ดิสโก้ เธค คนอื่นเค้าทำดำกันไปหมด แต่ผมทำขาว ทำเป็นสีสัน คือมันต้องมีอะไรที่มันแตกต่าง เพราะเราอยากเป็นดาวในกลางคืน มันต้องเป็นสีขาวที่สุด งานนี้ก็เหมือนกัน มันก็ต้องเป็นเหล็ก ที่คนเค้าคิดว่ามันแข็งกระด้าง มันเป็นอย่างนี้ได้ด้วยความรู้สึกว่าเราอยากทำ แล้วเป็นคนที่ทำจริงๆ มันเป็นความมุมานะ ที่ว่าทำของแข็งให้มันเป็นของอ่อนให้ได้
'ศิลปะ' กับปัญหาชีวิต
งานบางชิ้นไม่ใช่ว่าทำด้วยความสุขนะ มันมีช่วงที่ทำแล้วเป็นปัญหากับชีวิตก็มี แต่มันเป็นงานที่เราทำชิ้นเดียว อันเดียว มันต้องสวย แล้วงานมันก็อยู่กับเราอีกนาน ฉะนั้นงานที่ดูยากลำบากในการทำเนี่ย เราทำให้มันเป็นงานที่สวยออกมาได้ จากอารมณ์จริงๆ ตอนนั้นทุกข์ ทุกข์กับปัญหาชีวิตทั้งเรื่องของเศรษฐกิจ ครอบครัว เรื่องเยอะเลยที่มากระทบจิตใจ ใช้คำว่าปล่อยวางดีที่สุด เราต้องปล่อยวาง เราปล่อยวางทิ้งปัญหา เป็นระบบการคิดเหมือนลิ้นชักเลยอะ คือบางทีลิ้นชักไหนที่ไม่คิด เราก็ปิดมันไว้ ลิ้นชักไหนที่มันไม่น่าที่จะคิดแล้ว ก็ปิดไปซะ
ปล่อยวาง แล้วดัดเหล็กให้โค้งงอ
เรื่องราวมันเยอะมาก คือจริงๆ บวชเรียนก็บวช บวชปฏิบัติเป็นชันษา ก็เอาตรงนั้นมาใช้ได้ เพราะมันก็มีความทุกข์ มีสิ่งอะไรที่มากระทบตัวเนี่ย เราจะทำงานเหล็กนี้ได้ ต้องใช้คำว่าปล่อยวาง บางอย่างก็วางทิ้ง ไม่สนใจ ถึงบอกว่ากว่าจะมาอยู่ตรงนี้ได้ คือมาแบบทุบหม้อข้าว คือต้องไปให้ได้ ต้องทำให้ได้ งานที่มันเป็นงานเหล็ก ที่มองดูยากแล้วทำได้เนี่ย ยิ่งทำแล้วมันยิ่งเป็นเซอร์ไพรส์ มันทำให้งานนี้สามารถกล้าเดินไปทุกที่ได้ คือเรากล้านำเสนอ แล้วก็ไปขอความช่วยเหลือได้หมด ไม่ว่าจะเป็นที่ไหน
ศิลปะข้ามชาติ ข้ามน้ำ ข้ามทะเล
คือศิลปะเนี่ยมันไม่มีภาษา เหมือนเราเห็น .4.02.. เราก็ไม่รู้ว่าต้นกำเนิดมันเป็นยังไง ไปศึกษา ค้นคว้า คือเราชอบ เราอยากถ่ายรูปมั่งอะไรมั่ง งานงิ้วของจีนเป็นยังไง เราชอบที่ศิลปะ งานของทางปิกัสโซ่ คือเราก็ไม่รู้หรอก ที่เขาเขียนมาจากอะไร เห็นปุ๊บมีความชอบ อันนั้นแหละ...ทำให้เรามีความคิดตรงนั้น เราก็ต้องกล้าที่จะทำต่อ คนไทยจริงๆ ไม่รู้หรอกว่าทศกัณฐ์เป็นลูกใคร มีเมียกี่คน ไม่มีใครรู้ แต่เห็นปุ๊บคือชอบ นั่นแหละคือคำตอบเลย
อุปสรรคระหว่างทาง
การก้าวไปข้างหน้า ไม่ได้กลัวว่ามันจะยาก ต่อให้มันยาก มันมีทางที่ไปได้ของมัน ไม่รู้พูดไปมันเหมือนโม้มาก คือมันมั่นใจว่าเรามาถูกทาง การได้มาที่นี่มันไม่ยาก เพราะเราต้องมั่นใจและมั่นคงในตัวงานก่อน แต่อุปสรรคก่อนมาคือ คนเค้าไม่ยอมรับว่า งานมันสามารถไประดับสากลได้ ตรงนั้นที่ทำแล้วต่อสู้มาตั้งแต่แรก ในเมืองไทยเอาไปให้ใครดู ก็เหมือนงานขายตามจตุจักรหรืองานที่เห็นอยู่ทั่วไป ตอนแรกขอจดลิขสิทธิ์ยังไม่ได้ ถูกปฏิเสธ ผมต้องทำเรื่องไปอีกจนสามารถจดลิขสิทธิ์ได้ในที่สุด และพอจะออกงานจากต่างประเทศ จากตอนแรกดูเป็นงานเศษเหล็ก แต่พอจะออก ก็ยังต้องไปขอให้กรมศิลป์ตีความอีก ว่ามันไม่ใช่โบราณวัตถุ
ลงมือทำเอง ไม่มีแม้ลูกมือ
มันไม่มีใครมาอดกับผม มันไม่มีใครมาช่วยผมได้ เขาก็อยากได้กินได้ใช้ พอเราไปได้ เค้าก็อยากมาทำงานด้วย แต่มันเป็นไปไม่ได้ เพราะเค้าไม่รู้หรอกว่าเราคิดอะไรอยู่ มันเป็นปัจเจกจริงๆ มันเป็นความคิดของเราตั้งแต่แรกเริ่ม ว่างานมันจะตายพร้อมเรา เพราะว่าคนเรียนมีความครีเอตอยู่ในตัว คนเรียนสถาปัตย์หรืออะไรก็ได้ มีครีเอตอยู่ในตัว เค้าก็จะไม่อยากใช้กำลัง เค้าไม่อยากยก ไม่อยากเปื้อน คนพร้อมที่จะเปื้อนได้ ไอเดียก็ไม่มี แล้ววิธีการคิด เราเป็นตัวจริง เพราะตัวจริงนี่คือเราสามารถประกอบได้เลย เราคิดเอง เราทำเอง เรารู้คอนเซปต์เองตั้งแต่แรก ตัวนี้มันเป็นเรื่องสำคัญของประติมากรรม
ความอหังการ ขายงานดอลลาร์
ผมเจอมาหลายอย่าง จนมีความอหังการว่า เราจะต้องขายงานเป็นดอลลาร์ คนที่มาชมงานหรือซื้องานเรา จะต้องใส่สูทผูกไท นั่นเป็นคำพูดที่เรามุ่งมั่นมาตั้งแต่แรก พูดกับใครๆ ตั้งแต่แรกว่า บ้านผมอยู่อเมริกา นิวยอร์ก พูดเหมือนพูดเล่นอะ แต่เอาจริง ถ้าคนรู้จักย้อนกลับไปตั้งแต่ 10 กว่าปีที่แล้ว เขาก็บอกว่า ผมพูดแบบนี้มาตลอดว่า งานผมไประดับสากลได้ มันโดนบีบเส้นทางอย่างที่บอก พอตัดช้อยส์ตรงนั้น เราไม่สามารถทำงานเสนอกับที่เมืองไทยได้แล้ว เพราะหลังจากนั้นก็มีไปขอขายงาน ขอเงินยังชีพ เค้าก็ไม่ซื้อ ปฏิเสธ บางคนก็ตอบกลับมาว่า สนใจแต่เดี๋ยวติดต่อกลับ แล้วก็เงียบ หลายที่เป็นแบบนี้ แล้วผมก็ขอจัดแสดงงาน ก็ไม่ให้จัด เพราะว่าเค้ามองดูว่า เราไม่มีชื่อเสียง เราไม่มีสถาบันรองรับ แต่เรามองว่าเรามีภูมิปัญญาชาวบ้าน เค้าน่าจะให้เรานะ แต่มันไม่ใช่
มาไกลถึงนิวยอร์ก
คือมันจะเป็นแบบฟอร์มของผม ที่ติดต่อกับทางแกลลอรี่และมิวเซียมทุกที่ บอกว่างานผมเป็นงานที่มีชิ้นเดียว อันเดียวในโลก สามารถพิสูจน์ได้ว่า งานผมไม่ได้เป็นงานที่ก๊อบปี้จากใคร หรือจะหาได้ในโลกใบนี้ ไปเช็กได้เลยว่าสไตล์แบบนี้ไม่มีใครทำแน่นอน แล้วก็เป็นคนไทยคนเดียวที่สามารถจดลิขสิทธิ์ได้ มีใบลิขสิทธิ์ด้วย
ยูเนสโกบอก…ผลงานคุณมันสวยเกิน
แล้วยูเนสโกเคยทำหนังสือมา คือตอนนั้นได้เข้าไปศูนย์ศิลปาชีพบางไทร ซึ่งก็เข้าไปด้วยตัวเอง ศูนย์ศิลปาชีพเลยส่งงานประกวดระดับยูเนสโกทางด้านหัตถกรรม เค้าทำหนังสือตอบกลับมาว่า งานคุณมันสวยเกินกว่าคาดคิดไว้ ไม่เคยเห็นงานประเภทนี้ เราไม่รู้จะให้รางวัลอะไรคุณ เพราะไม่มีคู่เปรียบ เนี่ยอกหักหลายทอดมาก ทำอะไรก็ทำแบบท้อ ทำเรื่องขอเอสเอ็มอี เค้าก็ไม่ให้ หน่วยงานที่ควรขอ จะได้แล้วไม่ได้ มันก็เลยทำให้เราเลิกทุกอย่าง วันนึงจึงถือผลงานนั้นส่งไปตามรายการทีวี แล้วก็มีรายการหนึ่งให้เราได้โชว์ของ แต่ตอนนั้นโซเชียลก็ยังไม่ดี ก็ยังได้อยู่แค่ตรงนั้น
หาทางไปนิวยอร์ก
จนถึงตอนเริ่มหาทุน ด้วยการส่งอีเมล เชื่อมั้ยว่าบ้านเราไม่เคยมีตอบรับเลยทุกองค์กร ผมนี่แบ่งส่วนของประเทศเลย ว่ามีที่ไหนบ้าง ปริ้นมาเป็นหน้ากระดาษ แล้วก็ติ๊กเบอร์ว่าเราส่งไปวันไหน เค้าตอบกลับมาอะไรยังไง แล้วมีใครติดต่อบ้าง เหมือนกับขอทุน และแยกประเภทด้วยว่า เป็นธนาคาร องค์กร รัฐวิสาหกิจ เอกชน เป็น section ไปเลย ทุกคนจะชอบมาถามว่าไปที่นั่นแล้วหรือยัง ผมนี่บอกว่า ไปมาแล้วทุกที่
แกลลอรี่ที่นิวยอร์ก
เราส่งเอกสารไปตามมิวเซียมและแกลลอรี่หลายแห่ง ทางโน้นตอบกลับมาว่า ปกติแล้วจะคุยแต่กับองค์กร แต่เราเป็นบุคคลธรรมดา ถ้างั้นเรารีบติดต่อองค์กรแล้วกัน เพราะถ้าสมมติว่าได้จริง แล้วมันจะไม่ทัน ผมก็เลยทำเรื่องติดต่อ ผมมีเวลา 1 เดือนในการติดต่อองค์กร ซึ่งตอนนั้นก็ไม่ได้เลย แต่ตัวเองมั่นใจว่าผลงานจะได้รับการคัดเลือกที่ใดที่หนึ่ง และผลออกมาก็เป็นอย่างนั้น เราได้รับการตอบรับจากทาง Agora Gallery แต่ปรากฏว่า เรายังไม่มีทุนนำผลงานไปแสดงเลย จะทำอย่างไรดี ก็ขอเวลาเค้าอีก 7 เดือน เพื่อหาสปอนเซอร์
พีคสุด แต่ฝันเริ่มเป็นจริง
ตอนนั้นถึงวิ่งหาสปอนเซอร์ด้วยตัวเอง เพราะส่งอีเมลแล้วเงียบ ส่งอีเอ็มเอสไปเราก็เช็กดูเลยว่าถึงทุกที่มั้ย ซึ่งถึงทุกที่ แต่ก็ไม่มีใครติดต่อกลับมาเลย ตอนนั้นก็ไม่ได้ขออะไร รู้ว่าไม่ได้ แต่ทำเพื่อที่ให้รู้ว่าเราได้ทำแล้ว ให้เค้าจำว่าถ้าเรามีชื่อเสียงขึ้นมา ให้เค้าจำว่าคนเนี้ยเคยไปขอเค้าแล้ว เค้าเก็บงานเราไว้ เค้าไม่รู้จักเราวันนั้น วันถัดมาเค้าต้องรู้จัก เราคิดแค่นี้ทำให้มันถึงที่สุดแค่นั้นเอง เค้าไม่ให้ เราก็ต้องไปอีกที่นึง พอชุดสุดท้ายนี่แหละ เดินถือเอกสารไปตามที่ต่างๆ ที่เคยไปส่งแล้ว walk in เลย ถือเหมือนเซลส์เลย
ผ่าง...โดนด่ากลับ
ถือแฟ้มไปทุกที่ๆ คิดว่าได้ โดนว่าก็มี โดนว่าว่าคุณต้องลดทิฐิตัวคุณเอง ไปหาศิลปินที่คนไทยรู้จัก แล้วพาคุณไปในจุดหมายที่คุณอยากจะไป ผมเลยถามกลับไปว่า เค้าจะพาผมไปได้ไง ในเมื่อเค้าไปไม่ได้ เราก็ถือแฟ้มกลับ มีคนบอกว่า คุณเริ่มต้น คุณก็คิดการใหญ่แล้ว คือพอเค้าพูดมาปุ๊บ เราทั้งเถียงออกจากปาก เถียงในความคิดเราตลอดเวลา เราก็ถอยกลับมา