3 เสาหลักแห่งความมั่งคั่ง และ มั่นคงทางการเงิน


3 เสาหลักแห่งความมั่งคั่ง และ มั่นคงทางการเงิน



..มันเหมือนถ้าเราจะมองคนจากเงินที่เขามีอย่างเดียวอาจไม่ใช่ เช่น คนที่ถูกล็อตเตอรี่ หรือ ได้เงินก้อนจากมรดก / ได้เงินก้อนจากการพนัน ..ได้จากโชค ส่วนมาก มักรักษาเงินนั้นไว้ยาก

วิธีการที่ถูกต้อง ควรมองเป็น 3 ส่วนดังนี้..

'การดูความมั่นคงทางการเงิน เราวัดจาก 3 เสาแห่งความมั่งคั่ง (The Triangle of Wealth)'

1. Cash-Flow 'กระแสเงินสด' หลักๆ เราวัดจากเงินเดือน และความมั่นคงของงานที่ทำ (คนส่วนใหญ่จดจ่ออยู่เรื่องนี้อยู่เรื่องเดียว จนกลายเป็นทาสเงิน ทำงานหนักจนไม่มีเวลาให้ทั้งตัวเองและครอบครัว ..แทนที่ชีวิตจะดี กลับไม่ใช่)

2. 'Passive Income' อันนี้วัดความอิสระทางการเงินของเรา ..ถ้าใครมี Passive Income เหนือรายจ่ายขั้นต่ำ นี่ถือว่า 'Financial Freedom' ...ที่หลายๆคนเข้าใจว่ามี 10 ล้าน ร้อยล้าน หรือ พันล้าน มันคืออิสรภาพทางการเงิน ซึ่งไม่ใช่เลย ..เพราะเศรษฐีล้มละลายได้ถ้าบริหารธุรกิจพลาด ..แต่คนที่มี Passive Income เหนือ ค่าใช้จ่าย พวกนี้ไม่มีวันล้มละลาย มีแต่จะรวยขึ้น (ตรงนี้คนส่วนใหญ่ตั้งเป้าทางการเงินผิดทางอย่างแรง)

3. 'Asset' สินทรัพย์ อันนี้เป็นของสะสมที่สะท้อนความมั่งคั่ง และ ภาพลักษณ์ ..เรื่อง Asset ขึ้นกับความสามารถในการตีราคาและการเข้าใจมูลค่าอย่างลึกซึ้งใน Asset ต่างๆ

ใช่ !!! เราต้องเน้น 3 ด้านให้สมดุลย์ ...คนส่วนใหญ่สนใจแต่ด้านหนึ่ง และไม่เข้าใจในด้านสอง (ไม่รู้จักการวางเงินให้ทำงาน) และ ปฏิเสธที่จะเรียนรู้เรื่องของ Asset

สรุปแล้ว ถ้าใครให้ความสำคัญ ทั้ง 3 ด้าน ให้เหมาะกับตัวเอง ...ชีวิตด้านการเงินจะรุ่งโรจน์ครับ !!

Credit: Stock2morrow

6 ข้อควรทำถ้าอยากเป็นฟรีแลนซ์เงินแสน


6 ข้อควรทำถ้าอยากเป็นฟรีแลนซ์เงินแสน


หนึ่งในอาชีพยอดนิยมของเด็กวัยรุ่นเจนวายซึ่งรักอิสระยิ่งกว่าสิ่งไหนคงหนีไม่พ้น “อาชีพฟรีแลนซ์” ด้วยอาชีพนี้คุณจะทำงานที่ไหนก็ได้ เมื่อไรก็ได้ และได้เงินตามความขยัน แถมไม่ต้องปวดหัวเรื่องหัวหน้าหรือปัญหารถติดให้ยุ่งยาก แต่ไม่ใช่ว่าใครก็จะทำอาชีพฟรีแลนซ์นี้ได้ทุกคน การที่จะตัดสินใจลาออกจากงานประจำและก้าวเข้าสู่วงการฟรีแลนซ์อย่างเต็มตัวนั้นคุณต้องทบทวนให้ดี ลองถามตัวเองสิว่ามีคุณสมบัติเพียงพอหรือไม่และมีข้อควรทำประการใดในการเป็นฟรีแลนซ์เงินแสนให้ได้สมใจนึก

1.รู้จักตนเอง

อันดับแรกคุณจะต้องรู้ว่าคุณถนัดสิ่งใด ชอบทำอะไร และไม่ชอบอะไร อาจจะดูเป็นคำถามง่ายๆ แต่เป็นคำถามที่หลายคนไม่สามารถตอบได้ ทำไมคุณต้องรู้จักตนเอง? นั่นก็เพื่อว่าคุณจะได้เลือกสายงานที่คุณอยากทำถูก ลองสำรวจตัวเองว่าเชี่ยวชาญสิ่งไหน  เช่นถ้าเก่งภาษา ควรมองหาฟรีแลนซ์ด้านการเป็นล่าม,รับแปลเอกสาร หรือว่าถ้าเก่งคอม คุณก็สามารถรับงานแนวกราฟฟิก ทำเว็ปไซต์ หรือว่าเป็นคนชอบคุยกับคน รักการแสดงออก ก็สามารถเป็นพิธีกรตามอีเว็นท์ หรือทำเป็นนักการตลาดฟรีแลนซ์ไม่ขึ้นตรงกับบริษัทใดบริษัทหนึ่งก็ยังได้ ดังนั้นการที่รู้ว่าตัวเองนั้นเชี่ยวชาญสิ่งใดเป็นข้อที่สำคัญที่สุดที่จะต้องตอบให้ได้

2.รู้กลุ่มเป้าหมายและดูแลลูกค้าให้ดี

หลังจากที่คุณรู้แล้วว่าคุณถนัดงานประเภทไหน สิ่งที่ควรทำต่อไปคือการหากลุ่มเป้าหมายเพื่อที่จะให้มีคนมาจ้างคุณ  ตอบตัวเองให้ได้ว่าลูกค้าของคุณคือใคร และพุ่งเป้าไปที่กลุ่มลูกค้า ยกตัวอย่างเช่น คุณอายุ 23 เพิ่งเรียนจบมาใหม่ๆ  กลุ่มเป้าหมายของคุณคือรุ่นน้องในมหาลัย แต่ถ้าคุณอายุ 35 เพิ่งลาออกมาจากงานประจำในฐานะโปรแกรมเมอร์ กลุ่มลูกค้าของคุณคือบริษัที่คุณเคยขายงานให้ เป็นต้น ดังนั้นคุณจำเป็นต้องวิเคราะห์ตัวเองและหากลุ่มลูกค้าให้เจอ เพราะลูกค้านั้นแหละคือคนที่จะประทานเงินให้กับคุณ

3.รู้จักคู่แข่ง

ในทุกๆวงการย่อมมีคนเก่ง ในวงการฟรีแลนซ์ก็เช่นกัน ยิ่งเฉพาะในวงการนี้การแข่งขันดุเดือดมาก ดังนั้นการรู้จักคู่แข่งว่าคือใครนั้นสำคัญมาก รู้ว่าจุดเด่น จุดด้อย ของคู่แข่งคืออะไร ถ้าคู่แข่งของคุณมีงานเข้ามากกว่าคุณมาก ได้เวลาที่ต้องกลับมานั่งวิเคราะห์แล้วว่าคุณพลาดตรงจุดไหนไป อาจจะเป็นที่ประสบการณ์ ความเร็วในการส่งงาน ราคา เมื่อคุณรู้ถึงปัจจัยต่างๆพวกนี้แล้วคุณจะสามารถพัฒนาฝืมือให้ดียิ่งขึ้นได้ อย่าอายที่จะขอคำแนะนำจากรุ่นพี่ในวงการ พยายามฝึกฝนตัวเองอยู่เสมอ ถ้าคุณพัฒนาฝีมืออย่างต่อเนื่องเชื่อว่าคุณจะเป็นหนึ่งในฟรีแลนซ์ที่ใครๆก็ต้องการตัวแน่นอน

4.ทำให้คนรู้จักคุณ

การสร้างแบรนด์ดิ้งให้ตัวเองเป็นเรื่องที่จำเป็นมาก คุณต้องทำให้ลูกค้าจดจำคุณได้ เวลามีงานลูกค้าจะได้นึกถึงคุณเป็นคนแรก คุณสามารถโปรโมทตัวเองได้ในหลายๆทาง ยิ่งในยุคนี้ที่ใครๆก็ใช้เฟสบุ๊ค การโปรโมทตัวเองหน้าเฟสบุ๊คก็ทำได้โดยง่ายๆ ไม่ว่าจะเป็น โพสต์เกี่ยวกับงานที่คุณทำ หรือโพสผลงานที่คุณทำเสร็จแล้วทุกครั้ง เชื่อเถอะว่ามีอีกหลายคนที่เข้ามาส่องเฟสบุ๊คคุณและดีไม่ดีอาจจะจ้างคุณทำงานก็เป็นได้ ดังนั้นควรใช้จุดนี้ให้เป็นประโยชน์ นอกจากนั้นอย่าลืมใส่ช่องทางทีจะติดต่อตัวคุณให้ชัดเจน มีหลายกรณีที่คุณอาจจะพลาดงานดีๆ เพราะลูกค้าติดต่อคุณไม่ได้ และเมื่อคุณทำไปสักพักจนมีฐานลูกค้ามากพอแล้ว คุณสามารถสร้างเว็บไซต์ มีผลงานให้ลูกค้าดู รับรองว่ารับทรัพย์ไม่ทันแน่นอน

5. คอนเน็คชั่นแน่น

มีคำกล่าวที่ว่า “ มันไม่สำคัญว่าคุณเก่งแค่ไหน มันสำคัญที่ว่าคุณรู้จักใครต่างหาก” ซึ่งคำกล่าวนี้นั้นเป็นความจริงอย่างที่สุด เพราะว่าต่อให้คุณเก่งขั้นเทพ แต่ไม่มีใครรู้จักคุณ ไม่มีใครยื่นงานให้คุณ คุณก็ไม่สามารถโชว์ความสามารถได้อยู่ดี แต่สมมุติว่าคุณพอมีความสามารถอยู่บ้าง เป็นคนมีคอนเน็คชั่นเยอะ และมีความรับผิดชอบ เชื่อว่าลูกค้าต้องอยากจ้างคุณเป็นแน่ ดังนั้นขอให้คุณสร้างคอนเน็คชั่นไว้ให้มาก ติดต่อกับลูกค้าอย่างสม่ำเสมอหรืออาจจะส่งข้อความไปหาในทุกๆ เทศกาล เพื่อที่จะแสดงให้ลูกค้าเห็นว่าคุณเป็นคนน่ารัก มีอัธยาศัยดี ทำให้ลูกค้าอยากจ้างคุณไปนานๆ

6.เวลาของคุณราคาเท่าไหร่

คิดจะทำอาชีพฟรีแลนซ์ราคาของคุณมีค่ามากกว่าสิ่งใดเพราะคุณไม่ได้รับเงินเป็นรายเดือนแต่รับเงินเป็นชั่วโมงหรือต่องานต่างหาก ดังนั้นเวลาลูกค้าชื้อผลงานของคุณนั่นหมายความว่าแท้จริงแล้วเขาชื้อเวลาของคุณนั่นเอง ในฐานะคนทำอาชีพนี้คุณต้องรู้จักบริหารเวลาให้ดี ถ้าคุณบริหารเวลาเก่งๆแล้วล่ะก็ คุณจะผลิตงานได้มากมายและนั่นหมายถึงรายได้ที่จะมากขึ้นตามไปด้วย

และนี่คิอ  6 ข้อควรทำถ้าคุณอยากทำอาชีพแสนอิสระนี้ ทั้งเป็นนายของตัวเอง ไม่ต้องตื่นเช้า อยากทำงานที่ไหนก็ได้ แต่แน่นอนว่าทุกอย่างต้องมีข้อแลกเปลี่ยนเสมอ ถ้าคุณสามารถทำตามหกข้อนี้ได้เชื่อว่าการเป็นฟรีแลนซ์เงินแสนคงจะไม่ใช่เรื่องยากเกินฝันอีกต่อไป

ใช้เงินทำงานหนทาง...รวยด้วยการลงทุน


ใช้เงินทำงานหนทาง...รวยด้วยการลงทุน!


ยุคสมัยนี้ใช่ว่าขยันอย่างเดียวแล้วจะรวยเสมอไป ทำงานมาตั้งหลายปีไม่เห็นรวย!! มีเงินเก็บก็ยังไม่เห็นรวย!! มีเงินฝากธนาคารทุกเดือนก็ยังไม่เห็นรวย!! วันนี้มีหนทาง “ รวยด้วยการลงทุน ” มานำเสนอ ด้วยแนวความคิด’ถ้าอยากรวยเร็ว ต้องเร่งลงทุน’

เมื่อพูดถึงการลงทุนแบบเงินต่อเงิน หลายคนอาจจะมองว่าเป็นวิถีของคนรวยเท่านั้น ส่วนหนึ่งอาจจะใช่เพราะเรานับคนที่มีเงินว่าเป็นคนรวย แต่การมีเงินไม่ว่าจะมีเงิน 1,000 หรือ 1,000,000 บาท คำนิยามความรวยของแต่ละคนก็ไม่เท่ากันอยู่ดี แต่ที่แน่ๆคนที่มีเงินร้อย ก็อาจจะเป็นเศรษฐีเงินล้านจากการลงทุน ก็เป็นได้ แต่จะด้วยหนทางใดบ้างมาลองเลือกดูกัน

เงินฝาก

ในการฝากเงินกับธนาคารเป็นการออมเงินที่เรารู้กันดีว่ามีความเสี่ยงต่ำ หรือเรียกได้ว่าความเสี่ยงเป็นศูนย์ เงินต้นไม่หาย ทำธุรกรรมง่าย สะดวกสบาย และมั่นใจในความปลอดภัยได้ในระดับสูง เนื่องจากธนาคารพาณิชย์อยู่ในการกำกับดูแลของธนาคารแห่งประเทศไทย จึงไม่ต้องห่วงว่า ถ้าธนาคารเลิกกิจการหรือล้มละลาย แล้วเงินจะสูญ เพราะรัฐบาลจะคุ้มครองเงินฝากของเราอย่างเต็มจำนวน แต่ข้อเสียก็คือ ดอกเบี้ยน้อยมาก น้อยกว่าอัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นในทุกๆ ปี เหมาะกับผู้ที่ต้องการรักษาเงินต้น และมีดอกเบี้ยให้ชื่นใจเล็กน้อย

ตราสารหนี้ประเภทพันธบัตร

คือ สัญญากู้ยืมเงิน โดยผู้ออกตราสาร(ในฐานะลูกหนี้)ตกลงจะจ่ายดอกเบี้ยเป็นงวดๆ และคืนเงินต้นให้กับผู้ถือตราสารหรือผู้ลงทุน(ในฐานะเจ้าหนี้)ตามระยะเวลาที่กำหนดไว้ ผู้ออกตราสารหนี้เป็นได้ทั้งรัฐบาล รัฐวิสาหกิจ นิติบุคคลเฉพาะ และเอกชน ตราสารหนี้ ที่ออกโดยภาครัฐ องค์กรของรัฐ หรือรัฐวิสาหกิจ เรียกว่า ‘พันธบัตร’ หากออกโดยภาคเอกชนหรือบริษัทต่างๆ เราเรียกว่า ‘หุ้นกู้’

พันธบัตร

จัดเป็นการลงทุนที่มีความเสี่ยงต่ำ เนื่องจากผู้ออกพันธบัตรเป็นหน่วยงานภาครัฐ เช่น กระทรวงการคลัง ธนาคารแห่งประเทศไทย การเลือกลงทุนในพันธบัตรประเภทใดผู้ลงทุนพิจารณาเพียงอัตราดอกเบี้ยและอายุของพันธบัตรว่าตรงกับความต้องการในการลงทุนหรือไม่ ผลตอบแทนในการซื้อพันธบัตรจะมากหรือน้อย ขึ้นอยู่กับอายุ และประเภทของพันธบัตร เช่น ถ้าพันธบัตรที่มีอายุสั้นผลตอบแทนก็จะน้อยกว่า พันธบัตรที่มีอายุยาวกว่า ในการซื้อขายพันธบัตรจะมีสถาบันการเงิน ธนาคารพาณิชย์ และนายหน้าค้าหลักทรัพย์ เป็นคนกลางในการซื้อขายพันธบัตรกับผู้ลงทุน

กองทุน

เป็นการลงทุนที่มีความเสี่ยงระดับปานกลาง เนื่องจากมีให้เลือกทั้งกองทุนที่ผลตอบแทนต่ำมากไปจนถึงสูงมาก กองทุนคือการนำเงินไปฝากให้กับผู้บริหารกองทุนที่เราไว้ใจ บริหารเงินเราให้งอกเงย ผลิดอกเบี้ย และมีกำไรเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โดยมีบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน(บลจ.)เป็นผู้ดูแล
การลงทุนในลักษณะกองทุนนี้ ทางบลจ.จะตั้งประเภทกองทุนแบบต่างๆ เพื่อนำเงินที่ได้จากการขายหน่วยลงทุน(NAV) ไปบริหารให้เกิดผลกำไรกลับคืนมายังผู้ซื้อหน่วยลงทุน กองทุนแต่ละประเภทจะมีผลตอบแทนไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับความเสี่ยงในสินทรัพย์ที่นำไปลงทุนว่ากิจการที่นำเงินไปลงทุนนั้นมีกำไรหรือขาดทุนอย่างไร เช่น กองทุนที่เกี่ยวกับหุ้นจะมีความเสี่ยงสูงและผลตอบแทนสูง กองทุนตราสารหนี้ผลตอบแทนต่ำความเสี่ยงน้อย เป็นต้น

ตราสารทุน

หรือ หุ้น จัดอยู่ในการลงทุนที่มีความเสี่ยงสูง แต่ก็ให้ผลตอบแทนสูงเช่นกัน หุ้นเป็นการลงทุนด้วยการร่วมเป็นหุ้นส่วนกับบริษัทที่มีการจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ โดยเจ้าของกิจการเสนอขาย’หุ้น’ให้แก่บุคคลทั่วไป เมื่อเราซื้อหุ้นเราก็เหมือนเป็นเจ้าของกิจการร่วมด้วย หากบริษัทกำไรดี เราก็จะได้รับ’เงินปันผล’จากกำไรของบริษัท และมูลค่าของตัวหุ้นที่ได้ซื้อไว้ก็จะเพิ่มขึ้น แต่ถ้ากิจการขาดทุน เราก็อาจจะต้องสูญเสียเงินลงทุนดังกล่าวไปด้วย

ในการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ จะมีบริษัทหลักทรัพย์(โบรกเกอร์) เป็นคนกลางในการดำเนินการซื้อขาย ผู้ลงทุนจึงต้องซื้อหุ้นผ่านโบรกเกอร์ โดยผู้ลงทุนจะต้องเป็นสมาชิกของบริษัทหลักทรัพย์ใดบริษัทหนึ่งก่อนการเข้ามาลงทุน ซึ่งบริษัทหลักทรัพย์ในปัจจุบันมีมากถึง 39 แห่งให้เลือก ในเรื่องผลตอบแทนจากหุ้นมีหลายทาง ได้แก่ เงินปันผล การแจกตัวหุ้นเพิ่มทุน การซื้อหุ้นในราคาพิเศษ และการเพิ่มของราคาหุ้น ในทางกลับกัน เนื่องจากการลงทุนในหุ้นมีความเสี่ยงสูง ผู้ลงทุนจึงควรทำความรู้จัก เข้าใจวัตถุประสงค์ และยอมรับความเสี่ยงได้ เช่น หากลงทุนหุ้นด้วยเงินก้อนหนึ่งแล้วต้องสูญเงินก้อนนั้นไป เราสามารถรับการขาดทุนได้แค่ไหน เป็นต้น

ทองคำ

การลงทุนทองคำมีหลายประเภท ในที่นี้จะขอพูดถึงการลงทุนด้วยการซื้อทองคำจากร้านเท่านั้น การลงทุนในทองคำเป็นการลงทุนระยะกลางถึงยาว ตั้งแต่ 2 เดือนขึ้นไป ผลตอบแทนที่ได้จากทองคำมาจากราคาที่ปรับตัวขึ้นเท่านั้น ดังนั้นนักลงทุนส่วนใหญ่ที่นิยมลงทุนทองคำแท่ง หรือทองรูปพรรณ จึงควรศึกษาปัจจัยที่ทำให้ราคาขึ้นลง เพื่อทราบจังหวะในการเข้าซื้อและขายออก เช่น ข่าวสถานการณ์โลกที่มีผลกระทบต่อราคาทองคำ ข่าวเศรษฐกิจเกี่ยวกับความผันผวนของค่าเงิน เพราะราคาทองคำมักจะสวนทางกับค่าเงิน US Dollar ความคาดหวังว่าซื้อแล้วจะขึ้นในวันถัดไปอาจเป็นไปได้ยาก

ในการซื้อ-ขายทองคำแท่ง คุณควรตรวจสอบสถานที่ หรือร้านขายทองจากสมาคมผู้ค้าทองคำ เพราะร้านที่จะสามารถขายทองคำแท่งได้ จะต้องมีการจดทะเบียน และมีการตรวจสอบตราสัญลักษณ์ร้านจาก สคบ.ว่าได้มาตรฐานทองคำแท้จริง ทองคำเป็นทรัพย์สินที่มีสภาพคล่องสูง ซื้อ-ขายง่าย และเปลี่ยนเป็นเงินสดได้เร็ว ผู้ลงทุนจึงค่อนข้างมั่นใจว่า จะสามารถซื้อสะสมไว้เป็นทรัพย์สิน ก่อนนำไปหมุนเป็นเงินเมื่อยามจำเป็นได้

หนทางลงทุนแบบเงินต่อเงินมีหลายวิธีดังที่กล่าวมา แต่การลงทุนในแต่ละแบบก็ไม่ได้เหมาะกับทุกคนเสมอไป เช่น ถ้าเงินที่นำมาลงทุนเป็นเงินก้อนสุดท้ายในชีวิต หรือเป็นเงินที่ต้องกู้ยืมมาลงทุน การลงทุนที่มีความเสี่ยงสูง เพื่อให้ได้ผลตอบแทนสูงสุด อาจจะไม่เหมาะสม

ดังนั้นจึงควรพิจารณาให้เหมาะกับตัวของคุณ ดังคำพูดที่ได้ยินกันคุ้นหูว่า ‘การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนการตัดสินใจ’

"อย่าคิดว่าชาตินี้ไม่มีทางรวย เพราะคนรวยล้วนแล้วเคยจนมาก่อน" การลงทุนเป็นทางลัดสู่ความมั่งคั่งและร่ำรวย

อ้างอิง: http://www.moneyhub.in.th

เหตุผล 7 ประการที่คุณลงทุนไม่สำเร็จ


เหตุผล 7 ประการที่คุณลงทุนไม่สำเร็จ


ปัจจุบันเรื่องการลงทุนไม่ใช่เรื่องไกลตัว หรือเป็นเรื่องสงวนไว้สำหรับคนรวยอีกต่อไปแล้ว  ทุกคนสามารถลงทุนได้ตามสัดส่วนรายได้ของตนเอง ความรู้เกี่ยวกับการลงทุนก็เข้าถึงง่ายดายจากแผงหนังสือและอินเตอร์เน็ต  แต่ใช่ว่าทุกคนที่ลงทุนหรือทุกครั้งที่ลงทุน จะได้รับผลตอบแทนที่งดงามเสมอไป เพราะละเอียดปลีกย่อยของการลงทุนมีมากมาย ขึ้นกับปัจจัยหลายอย่าง และตามสถิติพบว่าคนส่วนใหญ่ล้มเหลวจากการลงทุน  เราลองมาดูภาพกว้างๆว่า  เหตุที่ไม่ประสบความสำเร็จในการลงทุน  หรือลงทุนแล้วไม่บรรลุเป้าหมายทางการเงินเป็นเพราะอะไรกันบ้าง

1. ไม่ยอมเริ่มต้น  ไม่ขวนขวายหาความรู้

 มีแต่พูดว่า  ว่าจะ  เดี๋ยวก่อน  ยังไม่พร้อม เรียกว่าผัดวันประกันพรุ่งไปเรื่อย เมื่อไม่ยอมเริ่มต้น ความรู้ในการลงทุนของเราก็ไม่งอกเงย รู้แบบฟังเขาเล่า ฟังข่าวลือ รู้จากสื่อแบบฉาบฉวย เหล่านี้ย่อมไม่สำเร็จแน่นอน เพราะการลงทุนเป็นศาสตร์ที่ต้องศึกษา อย่าลึกซึ้งพอสมควร

2.  ขี้กลัว  กลัวขาดทุน  กลัวยุ่งยาก กลัวโดนหลอก

จริงๆแล้วความกลัวเกิดจากความไม่รู้  ก็เราไม่ยอมเริ่มต้นศึกษา ไม่เดินไปหามัน ความกลัวก็จะยังคงอยู่ เพราะไม่เรียน ก็ไม่รู้ ก็คงต้องกลัวอยู่วันยังค่ำ ความจริงความกลัวเป็นสิ่งที่ดีสำหรับนักลงทุน เพราะจะทำให้เราไม่กล้าบ้าบิ่นจนเกินไป  เรากลัวก็จริง แต่ความกลัวนั้นต้องอยู่บนพื้นฐานความเสี่ยงที่เรารับได้   เมื่อเรามีความเข้าใจในความเสี่ยง เราก็จะไม่กลัวมากจนเกินไป แต่สิ่งที่จะขจัดความกลัวออกไปได้ ต้องเริ่มจากการ ก้าวเท้าออกไปลุยไปศึกษามันเสียก่อน อย่ามัวจินตนาการ อย่าคิดถึงการลงทุนในแง่ลบ เพราะอาจทำให้เราเสียโอกาสที่ดีไปก็เป็นได้

3.  ไม่มีเวลาติดตามข้อมูล

จริงอยู่ที่เมื่อเราลงทุนอะไรไปแล้ว จะต้องให้เวลาส่วนหนึ่งในการวิเคราะห์ ติดตามข่าวสารข้อมูลในตัวสินทรัพย์ที่เราลงทุน แต่ปัจจุบันนี้ มีเทคโนโลยีเป็นตัวช่วยให้เราใช้เวลาได้อย่างมีประสิทธิภาพ ในเรื่องลงทุนก็มีเครื่องมือหรือแอพพลิเคชั่นใหม่ๆช่วยย่นเวลาเราได้หลายแอพด้วยกัน ลองหามาใช้กัน และด้วยโบกของการลงทุนนั้นกว้างใหญ่ เราสามารถที่จะหาประเภทการลงทุนที่มีความเหมาะสมกับช่วงระยะเวลาว่างของเราได้ เช่น ถ้าไม่ค่อยมีเวลาก็ลองลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความผันผวนน้อย ไม่หวือหวา ก็จะช่วยได้ระดับหนึ่ง

4.  ลงทุนในสิ่งที่ตนเองไม่ถนัดหรือไม่มีความรู้

นักลงทุนที่ชอบเล่นตามข่าว ลงทุนตามเพื่อน ตามญาติ หรือมีคนแนะนำ มักประสบปัญหานี้ เพราะคนแต่ละคนมีนิสัยและรูปแบบการดำเนินชีวิตต่างกัน ความชอบและความรู้ในเรื่องต่างๆก็มีไม่เท่ากัน  คนที่มาชักชวนก็มาเหมาว่า ถ้าดีสำหรับเขาก็ต้องดีกับคนที่เขาอยากชวนด้วย    คนที่รับคำชวนก็คิดว่าเมื่อเขาทำได้ดี เราก็คงทำได้ไม่เลวหรอกมั้ง  พอถึงเวลาลงเงินไปแล้วจริงๆ การลงทุนนั้นๆอาจเหมาะกับคนหนึ่งและไม่เหมาะกับคนหนึ่ง ก็ได้และเป็นเรื่องธรรมดา ดังนั้นให้ลงทุนในสิ่งที่เรารู้จะดีกว่า ลงทุนเพราะตามเพื่อน ตามญาติ หรือลงทุนไปเพราะเกรงใจคนชวน เงินเป็นของเรา ถ้าขาดทุน ก็ไม่มีใครมารับผิดชอบแทนเรา นอกจากตัวเอง ถือคติถ้าจะผิด ถ้าจะมาพลาด ขอให้เกิดด้วยน้ำมือตัวเองจะดีกว่า เพราะอย่างน้อยเราก็จะได้บทเรียนที่คุ้มค่ากว่า

5.  ใช้กลยุทธ์ผิดพลาด เดินหมากผิดแนว

คือตัดสินใจผิดไปนั่นเอง หรือไม่ก็อาจเพราะ เดินเกมผิดไปตั้งนาน มารู้ตัวอีกทีก็สายเสียแล้ว เงินต้นหาย กว่าจะเรียกคืนมาได้ก็ต้องใช้เวลาอีกนานกว่าจะหาเงินต้นมาได้อีก ทำให้ผลตอบแทนแคระแกร็น  คล้ายๆกับหลงทาง เสียเวลา

6.  ไม่เพิ่มจำนวนเงินออม

คือไม่ใส่เงินลงไปเพิ่ม เมื่อเงินต้นน้อย ผลตอบแทนเทียบเป็นเปอร์เซ็นต์ก็ย่อมต้องน้อยตามไปด้วย ดังนั้นยังคงต้องออมเงิน เก็บเงิน แล้วเอาเงินมาใส่ในกองการลงทุนเพิ่มและสม่ำเสมอ แต่ไม่ได้หมายความว่าให้เติมลงไปในตัวที่ขาดทุน แต่ให้เติมในภาพรวมของพอร์ตการลงทุนของเรา

7.  ลงทุนแบบนักพนัน

จริงๆการลงทุนกับการพนัน มีส่วนที่คล้ายกันในหลายๆส่วน โดยเฉพาะการลงทุนระยะสั้นๆ หรือที่เรียกว่าการเก็งกำไร บางทีนักลงทุนจะสับสนกับตัวเอง เพราะการเก็งกำไรนั้นมีความผันผวนสูงมาก ย่อมกระทบต่ออารมณ์ความรู้สึกของนักลงทุนมากด้วยเช่นกัน จนบางครั้งลืมนิยามและแนวทางการลงทุนของตนเอง กลายเป็นแบบนักพนันไปเลย

จะเห็นได้ว่า การลงทุนนั้นไม่ได้ง่ายดายอย่างที่จะคิด และไม่ใช่จะมีแต่ได้เพียงอย่างเดียว ความผิดพลาดหรือไปไม่ถึงฝั่งฝันด้านการลงทุน ส่วนหนึ่งมีสาเหตุจาก 7 ข้อดังกล่าวข้างต้น สิ่งแรกที่เราต้องทำคือการศึกษาเรียนรู้ ต้องเริ่มต้นให้ได้ก่อน ต้องกล้า แล้วความกลัวในสิ่งไม่รู้จะค่อยๆหายไป  แล้วเราก็จะสามารถเดินไปบนเส้นทางของนักลงทุนได้เป็นผลสำเร็จ ส่วนผลตอบแทนนั้นจะสมดังที่เราหวังและตั้งใจไว้หรือไม่ อยู่ที่ฝีมือ ที่ต้องสั่งสม ต้องศึกษาให้ลึกซึ้งเฉพาะเจาะจงยิ่งๆขึ้นไปอีก

อ้างอิง: www.moneyhub.in.th

15 ความจริงเรื่อง " การเงิน " ที่คนไทยต้องรู้


15 ความจริงเรื่อง " การเงิน " ที่คนไทยต้องรู้ !


เรื่องที่ 1 : ทันทีที่เด็กรู้จัก การบวก ลบ เลขเป็น ผู้ปกครองต้องรีบสอนเรื่องการเงินแบบง่าย ๆ ให้เด็กได้ทันที ไม่ต้องรอให้โตเป็นผู้ใหญ่ สอนให้เค้ารู้จัก การออมเงิน คุณค่าของเงิน การประหยัดมัธยัสถ์ ตั้งแต่เด็ก ๆ ให้เป็นนิสัย อย่างรอให้โตเป็นวัยรุ่นก่อนแล้วค่อยสอน เพราะอาจจะไม่ทันกับพฤติกรรมการใช้เงินของเด็ก และการยากในการอบรมสอนเรื่องพวกนี้ในวันข้างหน้า

เรื่องที่ 2   คนโดยทั่วไปมักจะมีวิธีลดหย่อนภาษีอย่างชอบธรรม และวิธีการส่วนใหญ่ถูกต้องตามกฎหมาย เช่น การซื้อประกัน การซื้อกองทุนต่าง   ๆ  เพื่อไปลดหย่อนภาษี หรือแม้แต่บริษัทองค์กรใหญ่ ๆ ก็มักจะนำเงินบางส่วนออกมาช่วยบริจาคตามองค์กรการกุศลเพื่อนำไปลดหย่อนภาษีได้เป็นอย่างดี ซึ่งไม่ได้บอกว่าผิด แต่เป็นกระบวนการที่ถูกต้องในการลดการจ่ายภาษีเท่านั้นเอง คนไทยไม่รู้ มักจะไม่เข้าใจ และไม่เคยหาคำตอบว่าทำไม ต้องจ่ายภาษีแพง ๆ ทุกปี

เรื่องที่ 3   ระบบการสอนเรื่องการเงิน การออม ของการศึกษาไทย นั้น ไม่มีและยังไม่มีวี่แวว จะถูกบรรจุเข้าไว้ในระบบการศึกษาไทยเลย ทั้ง ๆ ที่เป็นส่วนที่สำคัญสำหรับเด็กไทย และอนาคตของเยาวชนไทยด้วยซ้ำ !! น่าเศร้าตรงที่ เด็กไทยที่ผ่าน ๆ มาต้องโตขึ้นมา โดยเรียนรู้เรื่องการเงินเอาเองตอนเป็นผู้ใหญ่ และบางครั้งก็ไม่ทันกับสถานการณ์ เพราะบางคนเป็นหนี้หัวโต การเงินติดลบตัวแดง แทบล้มละลาย ไม่สามารถทำอะไรต่อไปได้ เพราะเพิ่งจะมาเข้าใจตอนเป็นผู้ใหญ่ และต้องใช้เวลาในการจัดการหนี้สินให้จบ  ทำไมการศึกษาไทยบ้านเราไม่บรรจุสิ่งเหล่านี้ไปไว้ในบทเรียนเพื่อสอนให้เด็ก ๆ ของเรา เติบโตขึ้นมาพร้อมกับความรู้ทางการเงิน ไม่ใช่แค่เรียนเพียงบัญชี อย่างเดียว !!!

เรื่องที่ 4       เงินออม เป็น "ต้นน้ำ" ที่สำคัญที่จะขาดไม่ได้เลยสำหรับการมีความมั่งคั่งในด้านการเงินต่อไปในอนาคต เงินออมเกิดขึ้นได้โดย การมี "วินัย " อย่าง " สม่ำเสมอ " .... กับพฤติกรรมการใช้เงิน กล่าวคือ ใช้จ่ายเงินเฉพาะเรื่องที่จำเป็น รู้จักประหยัด ไม่สุรุ่ยสุร่ายจ่ายเงินอย่างโงเขลาในเรื่องต่าง ๆ ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะต้องทำเป็นนิสัย เมื่อมีเงินออมแล้ว นำไปลงทุนต่อ ทำให้เกิดการ ออกลูกออกหลาน ของเงินออม และนำเงินที่ได้ ไปลงทุนต่อให้ให้เกิดการพอกพูนของความมั่งคั่งต่อไปเรื่อย ๆ

เรื่องที่ 5      ความมั่งคั่ง ควรมีก่อน ความมั่นคง ... โดยพฤติกรรมส่วนใหญ่ของคนไทย ชอบที่จะมีความมั่นคงก่อน ความมั่งคั่ง นิสัยคนไทยเราชอบอะไรที่สะดวก สบาย จ่ายเงินซื้อความมั่นคงให้ตัวเองก่อนเพราะคิดว่านี้คือรางวัลของการทำงานหนัก เช่น ซื้อบ้าน มือถือใหม่ ๆ รถหรู ๆ  ซื้อสิ่งของแพง ๆ หรือแม้แต่เลือกที่จะผ่อนจ่ายสบายๆ ไม่มีดอกเบี้ย เพื่อให้ตัวเองครอบครอง สมบัติ สิ่งของ ที่บางครั้งไม่ได้สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับตัวเอง ... ไม่ได้บอกว่าผิดถ้ารู้จักการบริหารเงินเป็น แต่บางคนเลือกที่จะไม่ ออมเงินไว้ก่อน เพื่อความสร้างมั่งคั่ง แล้วควรจะมีอิสระในการซื้อ ความมั่นคงทีหลัง ....

เรื่องที่ 6      บัตรเครดิต เป็นเครื่องมือทางการเงินของคนที่รู้จักใช้มัน ให้กลายเป็น ทาสที่ดีของการบริหารเงิน แต่สำหรับคนที่ไม่รู้จักการรใช้บัตรเครดิต มันจะกลายเป็นปีศาจที่ทำให้คนใช้กลายเป็น " ทาสดอกเบี้ย"  มันทันที เพราะดอกเบี้ยจะเป็นตราบาปที่เกาะติดผู้นั้นไปยาวนาน กว่าจะใช้หนี้ได้หมด อาจจะทำให้ผู้ใช้บัตรเครดิตบางคน กลัว และขยะแขยง  " บัตรเครดิต " ไปอีกนาน แสนนาน บางคนถึงกับหักหรือตัดบัตรเครดิตให้เสียไปเลย เพื่อไม่ต้องมีโอกาสได้ใช้มันอีก  นั้นอาจจะไม่ใช่การแก้ปัญหาที่ดีนัก เพราะอย่างที่บอกว่า ถ้าใช้บัตรเครดิตให้ถูกวิธี มันจะกลายเป็น  " เครื่องมือ "  ทางการเงินที่ดีอันหนึ่ง

เรื่องที่ 7      เราต้องการเงิน เพื่อสำหรับการใช้จ่ายสิ่งจำเป็นในการดำรงชีวิต และเราก็ควรหาหนทางเพื่อให้ได้มันมาอย่างถูกต้อง ไม่ทำร้ายหรือรบกวนคนอื่น  แต่เงินโดยตัวมันเอง " ไร้คุณค่า"  มันคือสิ่งสมมติให้มีมูลค่าในการแลกเปลี่ยนกับสิ่งอื่น ๆ คุณค่าของเงินเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อเราได้ใช้เงินในการแลกเปลี่ยนกับสื่งอื่น ๆ เรื่องนี้สำคัญมาก ก็เพราะว่าคนมากมายไม่เข้าใจ ว่าจริง ๆ แล้วพวกเขาต้องการมันมากแค่ไหน ดังนั้นควรมองว่า เงินเป็นเครื่องมือเพื่อให้ได้สิ่งที่คุณต้องการ ( ในสิ่งที่ดี ) แต่ไม่ใช่เป้าหมายโดยตัวมันเอง ... เพราะหากมองเงินเป็นเป้าหมายใหญ่ในชีวิต คุณจะทำทุกอย่างให้ได้มันมามากที่สุด แล้วก็ไม่เคยพอ ซะที

เรื่องที่ 8      สถาบันการเงินทั้งหลายของไทยเรา  มักจะมีเงื่อนไขที่เอาเปรียบเสมอกับลูกค้า โดยกำหนดสัญญาค่อนข้างเอาแต่ได้ไปหน่อยทำให้ ลูกค้าที่ใช้บริการซึ่งไม่เข้าใจ " ภาษาการเงิน"  ที่ระบุไว้ในสัญญาค่อนข้างเสียเปรียบ... ทำให้เวลามีปัญหา มักจะตกเป็นรองเสมอกับ  ดังนั้น ก่อนทำสัญญาซื้อขาย ขอสินเชื่อ ซื้อประกัน หรือทำสัญญาจำนอง แม้แต่ทำบัตรเครดิตกับสถาบันการเงินทุกที่ ต้องอ่านและเข้าใจในเงื่อนไขให้ดีเสมอ อย่าประมาท เพราะท่านจะโดนเงื่อนไขที่บอกว่า  " ขอสงวนสิทธิ์ในการเปลี่ยนแปลงแก้ไขเงื่อนไขโดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า"  หรือ  เงื่อนไขเป็นไปตามที่ธนาคารกำหนด  หรือแม้แต่ข้อความที่ระบุให้ผู้ลงนาม ยินยอมรับรู้ และให้ไปเป็นไปตามเงื่อนไขในสัญญานั้นทุกประการ  จงระวังให้ดี !!!!!

เรื่องที่ 9       ค่าของเงินลดลงเรื่อย ๆ เงินเฟ้อมีอยู่จริง แม้มองไม่เห็นด้วยสายตา แต่สัมผัสได้เสมอ มาทุกยุค ทุกสมัย  ไม่ต้องค้นหาคำตอบว่าทำไม หรือจะป้องกันยังไง  ทางเดียวเท่านั้นคือ เอาชนะเงินเฟ้อด้วยการลงทุน และออมเงินเก็บสำรองไว้สำหรับเรื่อง "ฉุกเฉิน" ให้เพียงพอ ...  ค่าครองชีพในอนาคตสูงกว่านี้แน่นอน สังเกตจาก ราคาข้าวแกงทุกวันนี้ ราคา 20-30 บาท หาแทบไม่ได้แล้ว  หรือแม้แต่ทุกอย่างเวลามันขึ้น มันขึ้นยกแผง อาหาร ค่าพลังงาน ค่าเดินทาง ค่าทางด่วน ค่ายารักษาโรค ราคากระดาษ ราคาวัตถุดิบ

เรื่องที่ 10        สถาบันการเงินในปัจจุบันทั้งในระบบและนอกระบบ ส่งเสริมให้คนไทยสร้างหนี้เพิ่มขึ้นในหลายรูปแบบ โดยเฉพาะหนี้สินสำหรับการบริโภคผ่านบัตรเครดิตและสินค้าเงินผ่อนทั้งหลาย โดยเฉพาะ 0% ( ไม่ได้บอกว่าไม่ดี มันขึ้นอยู่กับคนใช้สินเชื่อมากกว่า ว่ามีวินัยแค่ไหน )  ซึ่งต้องเข้าใจว่าหนี้สินเหล่านี้ไม่ได้ช่วยให้คนมีรายได้เพิ่มหรือมีความสามารถในการชำระหนี้เพิ่มขึ้นในอนาคต บัตรเครดิตสามารถผ่อนมือถือ ค่าสมาชิกฟิตเนส  ค่าเทอมการศึกษา ผ่อนทองคำ   ผ่อนอะไรก็ได้ที่ เป็นการใช้จ่ายได้แทบทุกอย่าง !!! ปัญหาหนี้สินของภาคประชาชนส่วนหนึ่งเกิดขึ้นจากความไม่เข้าใจเรื่องเงินของคนไทยและปัญหาเหล่านี้เป็นต้นตอที่สำคัญของปัญหาความเลื่อมล้ำ และบั่นทอนให้สังคมไทยอ่อนแอลงเรื่อย ๆ ....

เรื่องที่ 11        ก่อนที่จะลงทุนอะไรก็ตาม โดยเฉพาะเรื่องการเงิน  สำคัญที่สุดคือ ลงทุนกับตัวเอง ในการหาความรู้ เรื่องการเงินให้เพียงพอ และรอบด้าน ก่อนที่จะลงมือทำอะไรลงไปกับ "เงินออม" ของเรา  อย่าไปตามกระแส อย่าให้ความโลภ เข้าครอบงำสติ ทำให้ขาดการพิจารณาเรื่องการลงทุน และการเดิมพันกับเงินออมของตัวเอง  ฉะนั้น เรื่องการเงิน หากไม่รู้ ก็ให้หาหนังสือมาอ่าน เข้าอบรม สอบถามผู้รู้ ผู้เชี่ยวชาญ ค้นหาเอาจาก อินเตอเนท  ทำทุกอย่างให้ตัวเองมีความรู้ในระดับที่ จะมองภาพกว้าง ๆให้เห็นว่า ตัวเองควรลงทุนอย่างไร ให้เข้ากับ ไลฟ์สไตล์ของตัวเอง ให้มากที่สุด แล้วชีวิตการเงินของคุณจะมีความสุข ......

เรื่องที่ 12       การยืมเงิน เป็นสาเหตุหลักของการ ผิดใจกัน ระหว่างเพื่อนฝูง คนรัก ครอบครัว พี่น้อง การยืมเงินควรเป็นทางเลือกสุดท้ายจริง ๆ เมื่อถึงทางตัน โดยต้องรับผิดชอบต่อ หนี้สินที่ตัวเองก่อขึ้นกับคนรู้จัก การยืมเงินกับคนใกล้ชิด บ่อยครั้ง เป็นการพิสูจน์ใจของกันและกัน ระหว่างผู้ให้ยืม กับผู้ขอยืมเงิน  ซึ่งส่วนใหญ่คนมักจะไม่อยากคุยเรื่องนี้ ไม่อยากให้ใครมายืม แต่บางครั้งด้วย บทบาทหน้าที่ในสังคม ทำให้จำเป็นต้องให้ยืม ฉะนั้น ผู้ยืม ทุกท่าน โปรดอย่าทำร้ายความน่าเชื่อถือของคุณเอง ด้วยการจ่ายล่าช้า หรือ เบี้ยวชำระหนี้ หากไม่มีจะจ่าย หรือจะขอเลื่อนการจ่าย กรุณาแจ้ง เจ้าของเงินให้ทราบด้วยถึงสาเหตุ  เพื่อให้ตัวเองมีเครดิต สำหรับเรื่องนี้ ซึ่งสุ่มเสี่ยงต่อมิตรภาพที่มีต่อกัน เรื่องนี้สำคัญมาก ๆ ..........

เรื่องที่ 13        สำหรับการเงินของคนวัยทำงาน ซึ่งยังมีงานทำ และสามารถหารายได้อยู่ จงอย่าประมาท ในเก็บเงินออมไว้ยามฉุกเฉิกของชีวิต ซึ่งไม่มีใครรู้ล่วงหน้าว่าจะเกิดอะไรขึ้น โดยทั่วไป คือ ควรจะมีเงินออมสำรองสำหรับ ค่าใช้จ่ายรายเดือน  6 - 10 เดือนล่วงหน้า เก็บไว้ก่อนเลย  และมีเงินสดสำรอง Cash flow ไว้หมุนเวียนพร้อมใช้สำหรับตัวเองในแต่ละเดือน  แต่ละเดือนที่หามาได้ เก็บออมไว้ 10 % ก่อน  จากนั้น เหลือเท่าไหร่ ก็ค่อยใช้จ่ายตามกำลังที่มี ทำแบบนี้ได้ทุกเดือน ชีวิตจะมีความสุข หากมีเงินเดือนมากขึ้น สามารถเก็บออมไว้เพิ่มขึ้นไปเรื่อย ๆ ยิ่งดี อย่าไปคาดหวังว่า รัฐบาลจะมาอุดหนุนช่วยเหลือยามแก่ชรา เลิกฝันหวานไปได้เลย เพราะกองทุนประกันสังคม ไม่ใช่คำตอบสุดท้ายของคนทำงานแน่ ๆ  และอีกเรื่องหนึ่งที่สำคัญ แต่โดน ละเลยมากที่สุดก็คือ การทำประกันชีวิต หรือประกันสุขภาพไว้เพื่อป้องกันความเสี่ยงในอนาคต หลายคนมัวแต่ทำงานหนัก มุ่งเน้นลงทุน ลืมใส่ใจสุขภาพ และอุบัติเหตุ ซึ่งเป็นสิ่งที่คาดเดาไม่ได้ ปลายทางเอาเงินที่หามา จ่ายให้หมอซะงั้น !!  ฉะนั้น เรื่องประกันชีวิตสำคัญอย่าลืม !!

เรื่องที่ 14     สำหรับหนี้ก้อนโต ที่หลายคนมีอยู่ และอยากจะปลดหนี้ แต่ไม่กล้าเผชิญหน้าความจริงของชีวิต ขั้นตอนแรกหากอยาก ปลดหนี้  จริง ๆ จงกล้ายอมรับความจริง และทำรายการหนี้สินทั้งหมด ( ขอย้ำ ว่าทั้งหมด และแจกแจงรายละเอียดให้มากที่สุด เพื่อให้เห็นภาพรวมของหนี้สินที่มี ) แล้วจัดอันดับว่าควรจ่ายก้อนไหน ก่อนหลัง ตามลำดับความสำคัญ.. เจรจาต่อรองเจ้าหนี้ ขอ Refinance หรือจะ ขายของที่มีอยู่ เช่น  รถยนต์ ทอง ของสะสม อะไรที่ตัวเองมี แล้วตัดใจขายได้ เพื่อเอาเงินมาชำระหนี้ได้ ต้องตัดใจทำ เพื่อลดภาระดอกเบี้ย ... จากนั้น พยายามหาช่องทางรายได้เพิ่ม และอย่าก่อหนี้เพิ่ม จากที่มีอยู่ ที่สำคัญ ห้ามเอากดเงินสดจากบัตรเครดิตมาโป๊ะหนี้สินเดิมเด็ดขาด เพราะจะทำให้วงจรหนี้ เพิ่มขึ้น และยุ่งยากในการจัดการ ต้องมีวินัยอย่างเด็ดขาดกับตัวเอง ..........

เรื่องที่ 15       " เงินทองเป็นของนอกภาย ไม่ตายก็หาใหม่ได้ "    เป็นเรื่องที่ถูกต้องครึ่งหนึ่ง ทุกสิ่งทุกอย่างต้องใช้ เงิน ในการขับเคลื่อนทุกกิจกรรมของชีวิต เงินมีความสำคัญและทวีความจำเป็นตามกลไกลของโลกทุนนิยมที่เข้มข้นเรื่อย ๆ หากแต่ ต้องเข้าใจ รู้จักใช้ และรู้จักออมเงิน ให้เหมาะสมกับช่วงวัยชีวิต และรู้เท่าทันตัวเองให้ดี อย่าให้เงินมาใช้งานเราแทน ...!!  และกลายเป็นทาสของเงินอย่างไม่ลืมหู ลืมตา  ขณะเดียวกันก็ต้องรู้จักใช้เงินให้ทำงานแทนเราด้วย เพื่อให้สามารถต่อกรกับ เงินเฟ้อ หรือ รองรับ
"เหตุฉุกเฉิน"  ของชีวิต ที่ไม่รู้จะเข้ามาวันใดของชีวิต  เรื่องการเงินเป็นเรื่องที่เรียนรู้ได้ตลอดเวลาอย่าเบื่อหน่าย หรือ หันหนีปัญหาการเงิน เพียงเพราะข้ออ้างว่า คุณไม่เคยเรียนรู้มาก่อน ปล่อยให้เป็นไปตามโชคชะตา หรือกรรมเวรที่เคยก่อขึ้นมา อย่าลืมว่า หนี้สิน ก็ต้องตามใช้ หากคุณไม่ใช้ คนข้างหลังคุณก็ต้องชดใช้แทน ....


หวังว่าทั้ง 15 ข้อที่กล่าวมาแล้วนั้น น่าจะสร้างข้อคิดและให้มุมมองบางประการที่ช่วยให้คนไทยอีกหลายคน ได้เริ่มตระหนักและมองเห็นแนวทางในการเริ่มต้น ปรับตัวเองในการใช้เงิน การรู้จักบริหารการเงินอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ....

FinTech ฟังทางนี้ แบงค์ชาติ-กลต. ให้คำแนะนำที่ Startup สายการเงินควรรู้


FinTech ฟังทางนี้ แบงค์ชาติ-กลต. ให้คำแนะนำที่ Startup สายการเงินควรรู้


Startup ในบ้านเราแล้ว เวลานี้ไม่มีอะไรกระแสแรงเท่ากับ FinTech เพราะธนาคารซึ่งเป็นเจ้าของแหล่งเงิน กระโดดลงมาเล่นเกือบครบทุกรายหลักแล้ว อีกทั้ง VC ทั้งในและต่างประเทศก็เลือกช็อปลงทุนรายที่เด่นๆ ไปไม่น้อย เช่น Claim di, StockRadars และ Piggipo แต่ยังมี FinTech อีกหลายประเภท ที่ยังอยู่ระหว่างการเริ่มต้น และมีข้อจำกัดสำคัญจาก ผู้คุมกฎ และกฎระเบียบ (Regulation) ของไทย

ในงาน NextMoneyBKK (หรือเดิมชื่อ NextBank) ได้เชิญตัวแทนจากผู้คุมกฎ, นักลงทุน และ FinTech จากต่างประเทศมาให้ความเห็น พร้อมตอบคำถามที่ FinTech อยากรู้ นำทีมโดย วิเรขา สันตะพันธุ์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายกำกับสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย, ณัฐฐิรา จิรเสวีนุประพันธ์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ ฝ่ายใบอนุญาตธุรกิจตัวกลางและส่งเสริมธุรกิจ SME สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์, ธนฉัตร ตั้งศรีวงศ์ แห่ง CyberAgent Ventures และ มาโนช พฤฒิสถาพร จาก Credit Karma โดยมีเนื้อหาโดยสรุปดังนี้

อย่ากลัวแบงค์ชาติ มาหาคำตอบไปด้วยกัน

วิเรขา สันตะพันธุ์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายกำกับสถาบันการเงิน แบงค์ชาติ บอกว่า ในฐานะหน่วยงานกำกับดูแลเรื่องกฎหมาย กฎระเบียบและใบอนุญาตต่างๆ ยืนยันว่ามีพื้นที่ที่ FinTech สามารถสอดแทรกช่องว่างเข้าไปให้บริการได้อีกมหาศาล อะไรที่ธนาคารทำไม่ได้ อะไรที่ธนาคารทำช้า FinTech สามารถเข้าไปทำได้หมด โดยเข้าไปช่วยเป็นบริการของธนาคาร

อย่างไรก็ตาม ยอมรับว่า FinTech เป็นเรื่องใหม่สำหรับแบงค์ชาติ แม้จะไม่ใช่เรื่องที่ยาก แต่แบงค์ชาติยังไม่รู้ว่า FinTech ต้องการอะไร ต้องแก้ไขกฎระเบียบตรงไหน อย่างไร เพื่อให้สอดคล้องกับการให้บริการ และยังคุ้มครองประชาชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ดังนั้น FinTech ต้องเข้ามาคุยกับ แบงค์ชาติ มาช่วยกันเพื่อปรับปรุงให้ Ecosystems ดีขึ้น แทนที่จะไปจดทะเบียนบริษัทที่ต่างประเทศ เช่น สิงคโปร์ หรือ ฮ่องกง

ดังนั้น ยืนยันว่า FinTech ทุกรายสามารถเดินเข้ามาพูดคุย ปรึกษาหารือ กันได้อย่างเต็มที่เพื่อหาคำตอบและทางออกในอนาคตร่วมกัน

กลต. แนะเร็วช้าไม่สำคัญ ของให้มีประสิทธิภาพก็แจ้งเกิดได้

ณัฐฐิรา จิรเสวีนุประพันธ์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ ฝ่ายใบอนุญาตธุรกิจตัวกลางและส่งเสริมธุรกิจ SME กลต. บอกว่า กลต. ดูแลทุกส่วนที่เกี่ยวข้องกับตลาดหลักทรัพย์ เห็นว่า FinTech หลายครั้งอาจมองว่า ต้องทำเร็ว และทำสิ่งใหม่ แต่ต้องไม่ลืมว่า สิ่งที่ดีกว่า ตอบโจทย์ได้มากกว่า ก็สามารถเอาชนะและเติบโตได้ เช่น Facebook เป็น Social ที่มาทีหลังโปรแกรมหลายตัว แต่โดนใจคนมากกว่า และเอาชนะไปได้ในที่สุด ดังนั้นหาความต้องการของผู้ใช้ให้เจอ และทำให้เกิดขึ้น

และยังยืนยันเหมือน แบงค์ชาติ คือ ถ้ามีเรื่องที่เกี่ยวข้องกับ หุ้น, กองทุน ขอให้เดินเข้ามาคุยกับ กลต. โดยตรง หากมีกฎระเบียบที่ไม่เอื้อต่อการทำธุรกิจ จะได้หาทางแก้ไขร่วมกัน เช่น ESOP เป็นต้น

Regulation เรื่องใหญ่ที่สุดของ FinTech

ธนฉัตร ตั้งศรีวงศ์ แห่ง CyberAgent Ventures บอกว่า ในมุมมองของ VC แล้ว FinTech เป็น Startup ที่น่าสนใจลงทุนมาก เพราะเป็นบริการที่ช่วยให้คน “รวย” ขึ้น เช่น แนะนำการลงทุนต่างๆ ผ่านข้อมูลอย่างง่ายๆ หรือเป็นบริการลักษณะ Corporate Solutions ทำให้องค์กรต่างๆ ทำงานง่ายขึ้น หรือ ระบบ Payment ที่จะเป็นตัวปลดล็อคระบบจ่ายเงิน และสุดท้ายคือ Personal Finance ที่ดูแลการเงินส่วนบุคคล รวมถึงการปล่อยกู้ในลักษณะ Personal Lending ซึ่งทั้งหมด ธนาคารไม่สามารถทำได้

แต่ VC เองก็ยังมองว่า Regulation เป็นเรื่องใหญ่ที่สุด ถ้าสามารถปลดล็อคส่วนนี้ได้จะมีธุรกิจ FinTech เกิดขึ้นอีกมาก ซึ่งทุกฝ่ายต้องหันหน้ามาช่วยกัน

5 ปัจจัยดัน FinTech ในอเมริกาบูม

มาโนช พฤฒิสถาพร จาก Credit Karma บอกว่า FinTech ในสหรัฐอเมริกาได้รับความนิยมอย่างสูงเพราะมีบริการจำนวนมากที่ธนาคารไม่สามารถตอบความต้องการได้ โดยเฉพาะ Personal Lending เพราะมีความเสี่ยงสูงกับธนาคาร แต่ FinTech สามารถทำได้ โดยอาศัยเทคโนโลยี Big Data ช่วยในการรวบรวมข้อมูล ประมวลผล และวิเคราะห์ความเสี่ยง โดยมีปัจจัยสำคัญ

1. Financial Inclusion ทำอย่างไรให้บริการเข้าถึงผู้บริโภค

2. Cost ค่าใช้จ่ายและต้นทุนที่ต่ำกว่า บริการหลายอย่างที่ธนาคารมีค่าใช้จ่ายสูง แต่ FinTech ต่ำกว่า

3. Personalization สามารถนำเสนอบริการได้แบบรายบุคคล ด้วยความสามารถในการวิเคราะห์ข้อมูลส่วนบุคคล

4. Experience สร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับผู้ใช้ เข้าใจง่าย สะดวกรวดเร็ว ไม่ต้องมีขั้นตอนมากแต่ปลอดภัย

5. Integration รวมบริการและมีการบริหารจัดการที่ดี
เช่น บริการของ Credit Karma มีผู้ใช้ในสหรัฐอเมริกากว่า 55 ล้านคน เป็นบริการที่ให้ Credit Score (คือ Credit Bureau ของบ้านเรา) ซึ่งปกติคนทั่วไปจะดูต้องเสียเงิน แต่ Credit Karma ซื้อมาให้ประชาชนได้ดูฟรีๆ จะได้รู้ Status ทางการเงิน และความสามารถทางการเงินของตัวเองอย่างแท้จริง ผ่านการวิเคราะห์ พร้อมให้คำแนะนำว่า ควรทำบัตรเครดิตที่ไหน ควรลงทุนอย่างไร ที่สอดคล้องกับความเสี่ยงส่วนบุคคล จากนั้น Credit Karma จะเก็บค่าบริการจากสถาบันการเงินแทน

ผู้ชายที่ประสบความสำเร็จ เขามีแนวคิดในการใช้เงินอย่างไร


ผู้ชายที่ประสบความสำเร็จ เขามีแนวคิดในการใช้เงินอย่างไร


หญิงสาวหลายๆคนอยากได้ผู้ชายที่ประสบความสำเร็จมาเป็นแฟน โดยเฉพาะประสบความสำเร็จด้านการเงิน พูดง่ายๆคือ อยากได้คนรวย มีเงินเยอะๆมาเป็นแฟนนั่นเอง  แต่ผู้ชายส่วนใหญ่มักไม่ชอบผู้หญิงที่สนใจแต่เรื่องเงินทองของเขา เพราะเชื่อว่า เธอหน้าเงิน เห็นแก่ได้  แต่ก็มีผู้ชายบางคนยอมรับได้ เพราะโดยธรรมชาติ ไม่ว่ายุคปัจจุบันหรือสมัยก่อน เก่าไปจนถึงยุคโบราณ สิ่งที่ผู้หญิงเรียกร้องจากผู้ชาย คือความแข็งแกร่ง

สมัยโบราณ มนุษย์เพศชายต้องออกไปล่าสัตว์ ต้องใช้กำลังและร่างกายที่แข็งแรง แข็งแกร่งออกไปหาอาหาร เพื่อเลี้ยงผู้หญิงและลูกๆ ถ้าผู้ชายอ่อนแอ ออกล่าหาอาหารไม่เก่ง ครอบครัวก็คงอดๆอยากๆ กินไม่เต็มอิ่ม ไม่มีผู้หญิงคนไหนอยากให้ลูกและตัวเองลำบากหรอก  ดังนั้นการที่ผู้หญิงชอบผู้ชายที่แข็งแกร่งจึงเป็นเรื่องธรรมชาติ เป็นสัญชาตญาณของเพศแม่  มาถึงยุคปัจจุบันแม้มนุษย์ไม่จำเป็นต้องออกไปล่าสัตว์แล้ว สิ่งที่จำเป็นต่อการอยู่รอดของมนุษย์ยุคนี้ก็คือ ฐานะการเงิน เพศชายที่แข็งแกร่งในปัจจุบันก็คือ ผู้ชายที่ฐานะการเงินดี สรุปคือรวย การที่ผู้หญิงชอบผู้ชายรวยจึงไม่ใช่เรื่องผิด เพราะเป็นกฎธรรมชาติ

แต่ผู้ชายรวยๆสมัยนี้หายาก หรือถ้าพบเจอรู้จัก เขาก็มีครอบครัวไปเสียแล้ว ถ้าอย่างนั้น ผู้ชายคนที่กำลังจะรวย หรือมีแนวโน้มว่าต้องรวยในอนาคตล่ะ มีหรือเปล่า แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่า ผู้ชายคนนี้มีโอกาสรวยในอนาคต จะได้เล็งๆไว้ก่อน และที่สำคัญตอนนี้เขายังไม่รวย ทำให้ไม่มีคู่แข่งแย่งจับ  เรื่องนี้โยะชิโอะ ยะชุดะ นักธุรกิจและและนักเขียนชื่อดังชาวญี่ปุ่น มีคำตอบ

โยะชิโอะ ยะชุดะ เขียนในหนังสือเล่มหนึ่งของเขา กล่าวถึงวิธีดูผู้ชายที่จะประสบความสำเร็จ ร่ำรวยเงินทองในอนาคต ให้ดูจากนิสัยการใช้เงิน  โดยปกติตอนจะพิจารณาฐานะการเงินของผู้ชาย ผู้หญิงจะดูรายได้ต่อปีรวมทั้งทรัพย์สมบัติของเขา ถ้ามีเยอะก็จะชอบ ยิ่งเยอะยิ่งดี  แต่จริงๆแล้วต้องดูที่กระแสเงินหมุนเวียน ว่ามีมากน้อยแค่ไหนต่างหาก เขาบอกว่าถึงบางคนจะมีทรัพย์สมบัติมากมาย แต่ถ้าไม่ใช้ ก็ไม่ต่างกับการไม่มี  แต่ถ้ามีเงินหมุนเวียนพอๆกัน ก็ให้ดูว่าเขาเหล่านั้นนำเงินไปใช้อย่างไร ผู้ชายที่จะประสบความสำเร็จ คือคนที่ใช้เงินไปกับการ เพิ่มคุณค่าให้ตัวเอง  การเพิ่มคุณค่านี้ไม่ใช่ การซื้อข้าวของเพื่ออวดคนอื่น  แต่เป็นการใช้เงินเพื่อสุขภาพ การศึกษา การเรียนรู้ทักษะ และคบหากับเพื่อนฝูง  เขาให้มองเงินว่ามันเป็นเพียงเครื่องมือ  คนที่จะประสบความสำเร็จจะใช้เงินไปโดยไม่คำนึงว่ามีรายได้มากน้อยแค่ไหน แต่เขาจะใช้เงินที่มีให้หมุนเวียนไปกับการพัฒนาตนเองอยู่เสมอ คล้ายกับว่าเป็นการลงทุนในตัวเอง  เทียบกับคนที่มีเงินเท่ากัน แล้วก็เอาแต่เก็บ เก็บ เก็บ ไม่นำเงินนั้นมาใช้หรือต่อยอดเพื่อพัฒนาตนเอง ความก้าวหน้าก็จะไม่เกิด สุดท้ายนั่งกอดเงินอยู่กับที่ ไม่ได้พัฒนาไปไหน ส่วนผู้ชายคนที่รู้จักใช้เงินเป็นเครื่องมือ หมุนเงินให้เป็นประโยชน์จะประสบความสำเร็จมากกว่าในอนาคต

จากแนวคิดข้างต้น ผู้หญิงที่มองการณ์ไกล จึงต้องมองฐานะการเงินของผู้ชายให้ลึกซึ้งมากขึ้น  จะมองแต่ตัวเลขในสมุดบัญชีธนาคารไม่ได้  จะมองเพียงบ้านที่เขาอาศัยอยู่ ดูรถยนต์ที่เขาขับไม่ได้  ต้องดูที่วิธีการใช้เงินของเขา ว่าเขานำเงินนั้นไปใช้ทำอะไร  ใช้เพื่อเพิ่มคุณค่าของตัว ใช้เพื่อการลงทุนเสริมสร้างทักษะหรือเปล่า  หรือว่าปล่อยให้เงินนั้นอยู่นิ่งๆ ถ้าพบคนที่ใช้เงินเป็น หมุนเวียนใช้ไปเพื่อประโยชน์ในอนาคต ก็ต้องเหล่ หรือเล็งผู้ชายคนนี้ไว้แต่เนิ่นๆ  เขาอาจจะยังไม่ประสบความสำเร็จในตอนต้นนี้หรอก แต่ทุกอย่างในชีวิตเขาจะก้าวไปอย่างสมดุลพร้อมๆกัน จนถึงช่วงเวลาที่เหมาะสม ความร่ำรวยที่งอกเงยอย่างยั่งยืนจะเกิดกับผู้ชายแบบนี้แน่นอน

เคล็ด (ไม่) ลับ สำหรับคนอยากรวย


เคล็ด (ไม่) ลับ สำหรับคนอยากรวย


อยากรวยทำไงดี เป็นคำถามยอดฮิต และก็ไม่มีไครทราบว่า จะต้องใช้วิธีใดถึงสามารถเป็นคนรวยได้ เราขอบอกเลยว่า คนเราทุกคนสามารถเป็น “คนรวย” ได้เท่าเทียมกัน ถ้ามีวิสัยทัศน์ที่ถูกต้อง และมีความพยายาม ไม่ท้อถอยต่อปัญหา มีความตั้งใจและเชื่อมั่นในตนเอง สิ่งเหล่านี้เป็นตัวช่วยให้คุณสามารถเป็นคนรวยได้ แต่สำหรับบางคนแล้ว อาจจะมีทั้งปัญหาและอุปสรรค์ที่ไม่สามารถก้าวผ่านไปได้ จึงทำให้ไม่สามารถก้าวข้ามความจนไปได้ ซึ่งข้อแตกต่างนี้ จึงทำให้ไม่สามารถเป็นคนรวยได้ทุกคน

สำหรับเคล็ด (ไม่) ลับ สำหรับคนอยากรวยของเราในวันนี้ เรามี วิธีการเป็นคนรวย อย่างง่าย ๆ หากคุณสามารถปฏิบัติตามได้ทุกข้อ เราเชื่อว่า คุณจะสามารถเป็นคนรวยได้อย่างแน่นอน

อยากรวยต้องทำตามวิธีการ ดังต่อไปนี้

***ศึกษาหาความรู้

สิ่งหนึ่งที่มีความสำคัญอย่างมาก นั่นก็คือ การหาความรู้ใหม่ ๆ ควรอัพเดทตัวเองเสมอ ว่าตอนนี้ สภาพเศรษฐกิจเป็นอย่างไร อะไรที่ทำเงิน และอะไรที่ไม่ทำเงิน หากคุณสามารถตีโจทย์ให้แตกว่า คุณเหมาะสมกับการลงทุนในด้านใด ประเภทไหน หรือคุณต้องทำธุรกิจเกี่ยวกับอะไร เพราะในยุคสมัยที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างไม่หยุดนิ่งแบบนี้ การออมเงินเพียงอย่างเดียวก็ไม่ช่วยให้คุณมีเงินมากมาย จนกลายเป็นคนรวยได้ ดังนั้น หากคุณต้องการมีเงินมากกว่าเดิม จนกลายเป็นคนรวยในอนาคต คุณต้องหันมาศึกษาเกี่ยวกับการลงทุนในรูปแบบต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนในกองทุนรวม หรือการลงทุนในหุ้น คุณก็ควรศึกษาและหาสิ่งที่เหมาะสมกับคุณให้มากที่สุด เพื่อให้สิ่งเหล่านั้น สามารถสำเร็จได้อย่างที่คุณต้องการเร็วขึ้นนั่นเอง

***อย่าฟุ้งเฟ้อ

คุณอาจจะประสบความสำเร็จกับการลงทุน ได้เงินมาหลายหมื่น หลายแสนบาท แต่ไม่ได้หมายความคุณจะเอาเงินเหล่านั้นไปใช้อย่างไม่คิด เสียเงินกับสิ่งที่ไม่จำเป็น อย่างเช่น มีโทรศัพท์ราคาแพงอยู่แล้ว แต่พอเห็นรุ่นใหม่ออกมา ก็ต้องการซื้อเพิ่มอีก อย่างนี้เป็นการใช้เงินแบบไม่คิดไปกับสิ่งที่ไม่จำเป็น เนื่องจากคุณก็มีอยู่แล้ว ถ้าคุณต้องการเป็นคนรวยจริง ๆ ก็ต้องรู้จักการหักห้ามใจ ไม่ซื้อของฟุ่มเฟือย อดวันนี้เพื่ออนาคตที่คุณจะเป็นคนรวยได้ ดังนั้น ควรรู้จักควบคุมตัวเองเกี่ยวกับการใช้จ่ายเงินให้มาก ๆ ควรคิดอยู่เสมอว่า เงินนี้เป็นเงินในอนาคต เป็นเงินที่จะสร้างความมั่นคงให้กับชีวิต จึงไม่สามารถใช้ไปกับสิ่งที่ไม่จำเป็นได้

***รู้จุดยืนของตันเอง

การที่คุณจะสร้างรายได้เพิ่ม ตามจุดมุ่งหมายใหม่ สิ่งแรกที่คุณต้องคำนึงถึง ก็คือ คุณยืนอยู่ตรงไหน สิ่งที่ต้องทำ ก็คือ การทำรายการของเงินได้ เงินสด เงินกินดอกเบี้ย สินทรัพย์ทุก ๆ อย่างที่คุณมีเสียก่อน เมื่อคุณทราบแล้วว่า คุณมีเงินทั้งหมดเท่าไหร่ในตอนนี้ จะทำให้คุณสามารถวางแผนเพื่อสร้างเส้นทางที่จะนำคุณไปสู่เส้นทางของคนรวย ให้ง่ายขึ้น

***อย่าเก็บเงินออมไว้เฉย ๆ

เงินออม หรือเงินเก็บของคุณไม่ควรปล่อยทิ้งไว้ให้อยู่นิ่ง ๆ คุณควรมองหาแนวทางการลงทุนในรูปแบบต่าง ๆ และลงทุนอย่างฉลาดรอบคอบจะช่วยให้คุณกำหนดจำนวนเงินที่คุณลงทุนได้ และสามารถประมาณการความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นในการลงทุนของคุณอีกด้วย คุณต้องตั้งความเสี่ยงที่คุณสามารถรับได้ไว้เผื่อเกิดเหตุการที่ไม่คาดคิด คุณควรวางแผนการบริหารเงิน และการลงทุนให้ดี ตั้งแต่ต้น แล้วทำตามแผน นอกจากนี้คุณต้องมีแผนสำรองเอาไว้สำหรับหลาย ๆ สถานการณ์ แต่คุณต้องแน่ใจว่าจะสามารถทำตามแผนที่ตั้งเอาไว้แล้วเท่านั้น อย่าเอาความอยากของตัวเองเป็นส่วนใหญ่ ไม่งั้นคุณจะไม่สามารถก้าวข้ามความจนไปได้

***เงินก็เป็นเหมือนกับแฟนที่ขี้หึง

คุณต้องให้เป้าหมายที่ต้องเอาไว้เป็นใหญ่ แล้วให้มองเงินเป็นเหมือนแฟนที่ขี้หึง หากคุณละเลยเงิน เงินก็จะละเลยคุณเช่นกัน ดังนั้น การตั้งเป้าหมายแล้วคุณต้องมีความพยายาม มีสติ และความมุ่งมั่น ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม คุณต้องทำตามแผนเพื่อไปให้ถึงเป้าหมายที่คุณตั้งไว้ เรื่องอื่น ๆ เอาไว้ว่ากันทีหลัง

***เงินไม่มีวันหลับ

เงินทำงานอยู่ตลอด 24 ชั่วโมงต่อวัน 7 วันต่อสัปดาห์ 31 วันต่อเดือน 365 วันต่อปี (แม้ธนาคารจะไม่ทำงานเหมือนเงินก็ตาม) เงินจะเดินไปเรื่อย ๆ ไม่มีวันหยุด วันพัก เงินรักผู้ที่มีความพยายาม มีความขยัน ดังนั้น คุณจะต้องมีความพยายาม และมีความอดทนต่อทุกปัญหาที่อาจจะเป็นตัวการให้คุณท้อและไม่อยากเดินหน้าต่อไปได้ เมื่อคุณมีความพยายามและตั้งมั่นก็จะสามารถไปสู่เป้าหมายสูงสุดที่คุณต้องเอาไว้ได้อย่างที่คุณต้องแน่นอน

***ปรับทัศนคติใหม่

ให้คุณปรับทัศนคติใหม่ การใช้เงินไม่ใช่หามาเพียงแค่พออยู่พอกินในแต่ละวัน หากแต่คุณต้องมีเงินสำรองไว้ใช้ในยามฉุกเฉินด้วย การที่คุณหาเงินมาเพียงแค่พออยู่ พอกิน เมื่อเกิดปัญหาที่คุณต้องใช้เงินก้อนใหญ่ แล้วทีนี้คุณจะหาเงินมาจากไหนได้ทัน ดังนั้นคุณต้องปรับเปลี่ยนความคิด และทัศนคติเสียใหม่ โดยการมองผู้ที่ประสบความสำเร็จเป็นต้นแบบ ศึกษาสิ่งที่เขาประสบความสำเร็จ แล้วศึกษารายละเอียดดูว่าคนเหล่านี้ มีวิสัยทัศน์เป็นอย่างไร หากคุณเห็นสิ่งที่เขาเห็น ทำได้ในสิ่งที่เขาเหล่านี้ทำ คุณก็สามารถถึงเป้าหมายได้เป็น คนรวย อย่างที่คุณต้องการได้อย่างแน่นอน

***รู้จักใช้เงินทำงาน

คุณต้องรู้จักหาวิธีให้เงินทำงานให้คุณ ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนเพื่อการปันผล การลงทุนในหุ้นต่าง ๆ เพื่อรับส่วนลดดอกเบี้ย และรับเงินปันผลจากการลงทุน การสร้าง Passive Income จากการลงทุน ศึกษารายละเอียดในการลงทุนให้ด รู้ว่าคุณเหมาะสมกับการลงทุนในรูปแบบไหนมากที่สุด แล้ววางแผนการลงทุนให้ดี เท่านี้คุณก็สามารถใช้เงินทำงานสร้างเงินให้คุณได้แล้ว

***อย่าเป็นหนี้โดยไม่จำเป็น

หากคุณต้องการเป็นหนี้ ควรเลือกหนี้ที่ก่อให้เกิดประโยชน์และทำให้คุณมีเงินเพิ่มขึ้นได้ อย่างเช่น กู้เงินเพื่อซื้ออสังหาริมทรัพย์ หรือที่ดินเปล่า เพื่อทำกำไรในอนาคต อย่างนี้ถึงเรียกว่า “หนี้ที่เป็นประโยชน์” และคุณควรหลีกเลี่ยงการเป็นหนี้ที่ไม่จำเป็นอย่าง เช่น การเป็นหนี้บัตรเครดิต เพื่อนำมาซื้อเสื้อผ้าราคาแพง หรือกระเป๋าแบรดน์เนม สิ่งเหล่านี้เป็นการใช้จ่ายเงินที่สิ้นเปลือง

***ตั้งเป้าหมายให้สูงเข้าไว้

หากคุณตั้งเป้าหมายจะเป็นเศรษฐีเงินล้าน ให้คุณวางแผนสำหรับการเป็นเศรษฐีระดับสินล้านแทน สิ่งที่คนส่วนมากทำผิดพลาดในเรื่องการลงทุน การสร้างตัว ก็คือ การที่ไม่รู้จักคิดให้ใหญ่พอ และตั้งเป้าหมายให้ใหญ่กว่าเป้าหมายที่คุณต้องการ เงินมีอยู่ทั่วไปพร้อมให้คุณคว้าไว้ แต่ผู้ที่มีวิสัยทัศน์ที่ใหญ่พอจะสามารถคว้ามันมาได้นั่นเอง

***อย่าหยุดเมื่อถึงเป้าหมาย

คุณควรจะเดินหน้าต่อไปเรื่อย ๆ แม้ว่าคุณสามารถไปถึงยังเป้าหมายที่คุณได้ตั้งเอาไว้ เพื่อให้เงินอยู่กับเราไปตลอด คุณควรจะทำงานต่อไปจนกว่าคุณจะไม่สามารถทำต่อได้ เพื่อให้คุณมีชีวิตที่ประสบความสำเร็จอย่างนี้ไปนาน ๆ นั่นเอง

สุดท้าย แม้ว่าคุณจะมีเงินมากมาย แต่ไม่ใช่ว่าคุณต้องเลิกทำงาน เพียงแค่หยุดพักผ่อน เพื่อให้รางวัลตนเองเท่านั้น หลังจากนั้น หากคุณกลับมาทำงานอีกครั้ง คุณก็จะมีความสุขกับการใช้ชีวิตที่เป็นอิสระทางการเงินอย่างที่คุณได้ตั้งเป้าหมายเอาไว้อย่างแน่นอน ขอให้ประสบความสำเร็จกันทุกคนนะครับ

ความกังวลที่ไล่ล่าคุณ


ความกังวลที่ไล่ล่าคุณ...


ชีวิตของคนเรามีทุกข์สุขปะปนกันเป็นธรรมชาติ  แต่เมื่ออยู่ไปนานวันเข้า ดูเหมือนสัดส่วนของความทุกข์และความกังวล จะกลืนกินสัดส่วนด้านความสุขไปเรื่อยๆ  ความทุกข์เกิดขึ้นเพราะคนชอบไปคิดถึงอดีต ไม่ยอมปล่อยวางในเรื่องราวที่ล่วงผ่านไปแล้ว  ความกังวลเกิดขึ้นเพราะคนกลัวความไม่แน่นอนที่จะเกิดขึ้นในอนาคต  ในสายธารความคิดของมนุษย์จึงวนเวียนอยู่กับอดีตและอนาคต  โดยเฉพาะความทุกข์และกังวลเกี่ยวกับการไม่มีเงิน  กลัวว่าถ้าเกิดเจ็บป่วย ไม่สบายจะเอาเงินที่ไหนไปหาหมอ  กังวลว่าธุรกิจ กิจการในวันพรุ่งนี้จะไปได้ดีหรือไม่  นึกถึงเรื่องเก่าๆและเสียดายในความผิดพลาดต่างๆที่ประสบมา  ทุกคนล้วนเป็นทุกข์และกังวลเกี่ยวกับอดีตและอนาคตทั้งนั้น ซึ่งความวิตกกังวลเหล่านี้ถ้าเกิดติดต่อกันเป็นเวลานาน ย่อมส่งผลเสียทางด้านจิตใจ ต่อเนื่องไปถึงร่างกาย ดังนั้นต้องรับมือกับความวิตกกังวลและหยุดยั้งความทุกข์เหล่านี้ให้ได้

แนวทางที่จะช่วยให้เราผ่านพ้นความวิตกกังวลไปได้คือ ให้ตั้งคำถามเหล่านี้และตอบคำถามให้ได้

ข้อ 1  คุณตั้งใจที่จะใช้ชีวิตในวันปัจจุบันอยู่กับความวิตกกังวลหรือเปล่า ? หรือว่ากำลังรอคอยให้สิ่งมหัศจรรย์ที่ยังมองไม่เห็นในอนาคตให้เกิดขึ้นกับตัวคุณ?

ถ้าคำตอบของคุณคือไม่ใช่  คุณก็สามารถเลิกคิดวิตกกังวลดังกล่าวได้ทันที ไม่มีใครในโลกนี้บังคับให้คุณต้องทุกข์และวิตกกังวล นอกจากตัวคุณเอง เมื่อคุณไม่ชอบความกังวล คุณก็เพียงแค่ หยุดความกังวลนั้นลง โดยไม่ต้องไปคิด ไปห่วง ไปเสียดายในสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วและสิ่งที่ยังมาไม่ถึง

ข้อ 2 ในบางครั้งคุณทำให้วันปัจจุบันของคุณขมขื่นเพิ่มขึ้นด้วยการไปนึกเศร้ากับเรื่องของอดีตที่จบสิ้นไปแล้วใช่หรือไม่ ?

ถ้าคำตอบคือ ใช่  คุณสามารถหยุดความขมขื่นนั้นได้ทันทีด้วยการไม่นึกถึงสิ่งที่จบสิ้นไปแล้ว แก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว ไม่มีใครในโลกนี้อีกเช่นกัน ที่บังคับให้คุณต้องมานั่งเสียดายและเสียใจกับอดีต

ข้อ 3 เมื่อคุณตื่นขึ้นในตอนเช้า ตั้งใจว่าจะตักตวงเอาประโยชน์จากวันนี้ให้ได้มากที่สุดตลอด 24 ชั่วโมงใช่หรือไม่ ?

ถ้าตอบว่าใช่ ก็เป็นสิทธิของคุณที่จะคิดดี พูดดี ทำดี ในขณะนี้เวลานี้ ไม่มีใครบังคับให้คุณคิดร้าย หรือคอยแต่นั่งวิตกกังวลไปทั้งวันได้  ถ้าอยากได้ความรู้สึกดีๆในวันนี้ ก็จงทำวันนี้ให้ดี สมดังที่ตั้งใจ

ข้อ 4 คุณสามารถได้รับสิ่งอื่นๆ ให้มากกว่าเดิมจากการใช้ชีวิตอยู่กับปัจจุบันได้หรือไม่ ?  

ถ้าตอบว่าได้ ก็จงเปิดรับสิ่งดีๆ ตั้งแต่ตอนนี้เลยสิ วิ่งเข้าหาประสบการณ์ดีๆที่รออยู่เลยสิ

ข้อ 5 คุณจะเริ่มปฏิบัติในสิ่งที่คุณได้ตอบคำถามกับตัวเองไปแล้วเมื่อไหร่ ?อาทิตย์หน้า  พรุ่งนี้ หรือวันนี้ ?

หากคุณตอบว่า สามารถเริ่มต้นทำได้ทันทีตอนนี้เลย ทำไมไม่เริ่มทำล่ะ อยู่กับปัจจุบัน ตอนนี้ทำอะไรอยู่ ทำมันให้ดีที่สุดเลยได้ไหม  เรื่องที่ไม่เกี่ยวกับสิ่งที่กำลังทำตอนนี้ ให้หยุดคิดหยุดห่วงไปก่อน ทำสิ่งที่อยู่ตรงหน้าให้ดี ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กหรือเรื่องใหญ่ ใส่ใจกับปัจจุบันเท่านั้น

เมื่อถามและตอบคำถามข้างต้นจนครบหมดทุกข้อแล้ว เชื่อว่าทุกคนคงเข้าใจดีแล้วว่า  ต้องมีความตั้งใจ และใช้ความพยายามค่อนข้างสูงในการที่จะตรึงจิตให้ติดอยู่กับเรื่องในปัจจุบันให้ได้   ผลที่ได้คือจิตจะละวางจากอดีตและอนาคตอันเป็นต้นเหตุของความทุกข์และความวิตกกังวลไปได้  แต่เมื่อทำไปได้สักพัก ด้วยความเคยชิน เดี๋ยวจิตก็จะกลับมาคิดแบบเดิมๆอีก   ดังนั้นเรื่องนี้ต้องอาศัยการฝึกฝนบ่อยๆ ก็จะทำได้เองเป็นนิสัย  เมื่อชีวิตไม่ต้องเสียเวลาไปกับการกังวลเรื่องเก่าและเรื่องราวที่ยังมาไม่ถึง ทำให้ความคิดของเราแจ่มใสขึ้นและทุ่มเทกับการงานในปัจจุบัน ก่อให้ชีวิตและการงานในปัจจุบันนั้นมีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน

ความฝันที่ต้องเป็นจริง


ความฝันที่ต้องเป็นจริง!!!


ท่ามกลางสังคมที่มีแต่ความแตกต่าง ที่เราต้องเลือกและเดินตามทางที่เราว่าใช่ มันอาจจะไม่เหมือนกัน แล้วอะไรเป็นสิ่งที่ทำให้ชีวิตของคนเราแตกต่างกันล่ะ! คือคำถามที่ผมค้นหามานาน แล้วอะไรที่ทำให้ผมค้นหา ตอบง่ายมากเพราะมองเห็นความไม่เท่าเทียมกันของชีวิต ที่เกิดมาไม่เท่ากัน...มันก็คิดไปได้ และไปโน้น เพี้ยนมากเลยทีเดียว

ออกเดินทางตามหาคำตอบที่แท้จริง เป็นความฝันที่อาจจะไม่ค่อยเหมือนคนอื่น แต่ส่วนตัวคิดว่ามันน่าจะเป็นสิ่งที่ควรนำมาคิดพิจารณา มีเพื่อนเคยถามว่าชีวิต(มึง)จะเคร่งเครียดไปไหน ชีวิตเกิดมาแล้วใช้ให้เต็มที่สิ... คิดแล้วก็จริงของเพื่อน และมองว่าใช่ แค่ต้องการเพิ่มคำว่า"ในทิศทางที่ถูกต้อง"ด้วย เพราะมีความเชื่อว่าชีวิตมีพลังจำกัด เราไม่สามารถลองถูกลองผิดได้ทุกวัน จะทำอะไรก็ต้องนำมาคิดและพิจารณา...

บนทางเดินของความฝัน มีสิ่งที่มาทำให้เราออกนอกเส้นทางได้เสมอ แต่สุดท้ายก็ค้นพบว่าอะไรที่ทำให้ชีวิตของแต่ละคนแตกต่างกันคือ "ความคิด" นี่เอง เป็นตัวที่ทำให้ชีวิตคนเราแตกต่างกัน ความคิดเป็นจุดเปลี่ยนของทุกอย่างในชีวิตคนเรา และเราเลือกได้ว่าเราจะคิดยังไง ค้นพบว่าความคิดมีบวก มีลบ และไม่มีอะไรเลย ทั้ง 3 ความคิดทำให้ชีวิตเรามีบวก มีลบ และไม่มีอะไรเลยเช่นกัน

ความคิดคือจุดเปลี่ยนของทุกๆอย่างในชีวิต พบว่าคิดบวกเท่านั้นที่จะทำให้เราก้าวไปข้างหน้าอย่างมีพลัง...

"ความคิด กำหนด การกระทำ
   การกระทำ กำหนด นิสัย
  นิสัย กำหนด ความสำเร็จ"

ถ้าไม่ลองแล้วจะรู้ได้อย่างไร และถ้าสามารถทำถูกได้เลย จะลองผิดให้เสียเวลาทำไม อยากรู้อะไรให้ถามคนที่ทำได้ คนที่ประสบความสำเร็จ ซึ่งผมเป็นคนชอบถาม ทำให้ประหยัดเวลาของชีวิตมากเลย คติผมคือ "ยอมโง่ครั้งเดียวดีกว่า โง่ตลอดชีวิต" ลองใช่ดูนะครับ

Credit: พุฒิเชษฐ์  ภูริพงษ์ธนเจริญ